สิ่งที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับนักเดินทาง อาจไม่ใช่เพียงแค่ภาพสวย ๆ หรืออาหารอันเลิศรส หรือความทรงจำใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเดินทางในแต่ละครั้ง แต่การพาชีวิตของตน เดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยเมื่อจบทริป นับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง สิ่งอื่นที่ได้รับนอกเหนือจากนี้ ถือได้ว่าเป็นกำไรแห่งชีวิต เป้าหมายการเดินทางในครั้งนี้อยู่ที่การชม blue lake และ blue flame ณ ภูเขาไฟคาวาอีเจี้ยน ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังดับไม่สนิท ตั้งอยู่ในเขตชวาตะวันออก (East Java) สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,799 เมตร เราออกเดินเท้าจากที่พักบริเวณเชิงเขาเพื่อเดินไปยังปากปล่องตั้งแต่เวลา 01.45 น. กับระยะทางที่ไต่ระดับเขาไปประมาณ 3 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาถึงเกือบ 2 ชั่วโมง โดยรวมเส้นทางมีลักษณะค่อนข้างกว้างและเดินได้ง่าย ใช้แสงไฟจากไฟฉายที่ติดตัวแต่ละคนเป็นสิ่งนำทาง เมื่อถึงจุดปากปล่องภูเขาไฟ เราต้องเดินลงไปตามเส้นทางของปล่องด้วยความยากลำบาก เนื่องจากความมืดและทางค่อนข้างมีลักษณะแคบและชัน จึงไม่ได้เก็บภาพบรรยากาศช่วงที่เดินลงปากปล่องมาด้วย ความสวยล่อตาล่อใจของเจ้าทะเลสาบสีเขียวมรกต (blue lake) และเปลวไฟสีน้ำเงิน (blue flame) ที่เห็นได้เฉพาะในเวลากลางคืนเท่านั้น ซึ่งเกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างก๊าซซัลเฟอร์ อุณหภูมิที่สูงกว่า 600 องศาเซลเซียส และก๊าซออกซิเจน มาพร้อมกับกระแสลมแรงที่เต็มไปด้วยควันพิษของก๊าซซัลเฟอร์ บวกกับความสะเพร่าของเราที่กำลังทั้งชื่นชมความงามภายใต้แสงสีเหล่านั้น ทั้งกำลังปิดจมูกเพื่อให้พ้นจากกลิ่นที่กำลังทำลายระบบการหายใจให้ไม่เป็นปกติสุข เป็นสาเหตุทำให้กล้อง Nikon D90 แสนรักแสนหวง ที่กำลังตั้งอยู่บนขาตั้งเพื่อเก็บภาพความงดงาม จมหายลับไปกับตาในทะเลสาบที่น้ำมีสภาพเป็นกรด หายไปพร้อมภาพความประทับใจมากมายของการท่องเที่ยวในประเศอินโดนีเซีย 2 วันที่ผ่านมา ความเลวร้ายทุกอย่างถาโถม ความหนาวเหน็บที่แทรกลึกลงถึงกระดูก ลมหายใจที่ใกล้จะดับสูญด้วยเพราะความเป็นพิษของควันที่พวยพุ่ง ไร้อากาศอันบริสุทธิ์ให้หายใจ ดวงตาอันแสบร้อนด้วยพิษควัน คำว่า "นรกบนดิน" สำหรับที่นี่คงไม่เกินความเป็นจริงนัก!! ความพยายามในการที่จะกู้เอากล้องขึ้นมาจากใต้บาดาลของไกด์ท้องถิ่นประจำทีม และชายผู้หาบแร่กำมะถัน ต่อให้ผู้เป็นเจ้าของจะกล่าวขอให้รีบหนีเอาชีวิตรอด หลายครั้งก็ตาม ทำให้เรามองเห็นหัวใจอันบริสุทธิ์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาและความเกื้อกูลช่วยเหลือ หลังจากที่ได้กล้องคืนมาพวกเราทั้งหมดรีบพากันขึ้นมายังปากปล่องภูเขาไฟ และยังไม่ลืมที่จะเก็บภาพบรรยากาศไว้เป็นที่ระลึก ถึงตอนนั้นในใจได้แต่คิดว่า คงไม่กลับมาเที่ยวที่นี่อีกเป็นแน่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีความคิดที่แตกต่าง อยากจะไปถ่าย Blue Flame ให้หนำใจอีกครั้ง แม้สุดท้ายเราจะได้กล้องคืนมาในสภาพที่ไม่น่าจะใช้การได้แล้ว แต่นั่นไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญไปกว่า ชีวิตของทุก ๆ คนที่ได้กลับคืนมาอย่างปลอดภัยเช่นกัน ต่อจากนี้ไม่รู้ว่าร่างกายของเราจะเกิดผลเสียอย่างไรบ้างจากการสูดดมรับสารพิษเป็นเวลานาน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้เราได้รักชีวิตของตัวเองที่ไม่เคยรักมาก่อนมากขึ้น ได้เห็นหัวใจอันงดงามและปรารถนาดีของคนที่นี่ ได้สัมผัสถึงมิตรภาพที่แสนดี ร่วมทุกข์ร่วมสุข ยากที่จะรู้ลืมของผู้ร่วมเดินทางในทริปนี้ทุกคน น้ำตาที่ไหลริน เป็นเสมือนตัวแทนของทุกความรู้สึกได้อย่างดี ขอบคุณทุก ๆ สิ่ง ที่ทำให้เราได้มีโอกาสใช้ชีวิตในแบบที่อยากจะเป็น ได้ต่อไป /ภาพประกอบทั้งหมด โดย ผู้เขียน/