สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปขึ้นเหนือกันค่ะ ในเมื่อมาภาคเหนือทั้งที่ก็ต้องไปขึ้นเขาค่ะ สถานที่ที่แนะนำในวันนี้เป็นหนึ่งใน Unseen Thailand ของจังหวัดลำปาง เมืองรถม้า นั่นเอง และที่นี่ก็คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ วัดนั่นเองค่ะ ซึ่งวัดแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ ต.ป่าตัน อ. แม่ทะ จ. ลำปาง ซึ่งอยู่บนยอดดอยพระฌาน นั่นก็เป็นที่มาของชื่อวัดคะ ซึ่งวัดแห่งนี้มีชื่อว่า “วัดพระธาตุดอยพระฌาน” (“ฌาน” คำนี้ อ่านว่า ชาน นะคะ) ดอย ก็คือ ภูเขา ในภาษาเหนือ เมื่อเอ่ยถึงวัดนี้คาดว่า หลาย ๆ ท่านคงยังไม่คุ้นหูเท่าไหร่เพราะว่าวัดนี้เพิ่งจะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง วัดพระธาตุดอยพระฌาน ตั้งอยู่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำจาง ในสมัยก่อนบริเวณรอบ ๆ วัดเป็นไร่อ้อยและป่าโปร่ง แห้งแล้ง เพราะเป็นที่สูง ปกติไม่ค่อยมีผู้คนเข้ามาในบริเวณนี้ เพราะเป็นที่ห่างไกลความเจริญ ตามตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาพำนัก ณ ที่ ดอยแห่งนี้และเนื่องจากเป็นภูเขาสูง ชาวบ้านเชื่อว่าผู้ที่จะขึ้นไปได้นั้น ต้องเหาะหรือไม่ก็เข้าฌานเท่านั้น จึงเป็นที่มาของชื่อ “ดอยพระฌาน” แต่เดิมบนดอยนี้มีแต่อาสนะที่นั่งของพระพุทธเจ้าก็คือ ก้อนหินก้อนดินเท่านั้น จากบันทึกในใบลานระบุว่า เมื่อปี พ.ศ 2442 ได้มีการก่อสร้างเจดีย์ครอบทับองค์เก่าที่เป็นก้อนหินก้อนดิน สร้างแล้วเสร็จเมื่อ วันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 7 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงถือเอาวันดังกล่าวเป็นวันทำบุญสรงน้ำพระธาตุสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ 2552 พระอาจารย์พรชัย อัคควังโส เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน และพระภิกษุสหธรรมิกชาวบ้านนาคต คือ พระอาจารย์ปิยพงษ์ ธมัมวังโส และชาวบ้านช่วยกันบูรณะ ปฏิสังขรณ์ปลูกสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ภายในวัดที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน นี่คือป้ายหน้าวัด และทางเข้าวัด เนื่องจากวัดตั้งอยู่บนยอดดอย การเดินทางขึ้นไปบนวัดนั้นมี 2 วิธี คือ เอารถไปจอดที่ลานจอดรถของทางวัดและเดินขึ้นบันไดไป 624 ขั้น หรือท่านใดจะขับรถขึ้นไปด้านบนก็ได้ แต่ในช่วงวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ หรือวันนักขัตฤกษ์ เนื่องจากจะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพื่อความสะดวกและปลอดภัย ทางวัดจึงมีบริการรถสองแถวนำท่านขึ้นสู่ยอดดอย เพราะว่าข้างบนนั้นมีที่จอดรถไม่เพียงพอ ถ้าท่านนั่งรถขึ้นไปเมื่อถึงด้านบน ท่านจะพบกับเจดีย์ก่อน แต่ถ้าท่านเดินขึ้นบันได ท่านจะพบกับวิหารก่อน ทางเดินขึ้นวัด ถือว่าไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไหร่นะคะ เดินไปได้ชิว ๆ ภาพถ่ายนี้ตอนที่ผู้เขียนไปเป็นปลายหน้าหนาวเข้าหน้าร้อนแล้ว สองข้างทางเป็นป่าไผ่จะดูแห้งแล้งหน่อย แต่ดูสวยไปอีกแบบนะคะ ถ้าท่านมาช่วงหน้าฝนจะสวยงาม และสดชื่นมากค่ะ เพราะป่าจะเป็นสีเขียวขจี ท่านจะได้กลิ่นอายของไอฝนด้วย ถ้าท่านเดินขึ้นบันไดนาคมา แค่ท่านเห็นซุ้มประตูโขง ท่านจะตะลึงในความวิจิตรงดงามตระการตาของสถาปัตยกรรมล้านนา จนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งกันเลยทีเดียว และท่านจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับการวิริยะของเราที่เดินขึ้นมาเพื่อชมผลงานพุทธศิลป์ของช่างฝีมือคนไทย ขอแนะนำท่านที่จะมาที่วัดแห่งนี้ว่าให้มาตอนเช้า ๆ ดีที่สุด มาดูพระอาทิตย์ขึ้น และถ้าเป็นช่วงหน้าหนาวท่านจะเห็นทะเลหมอก ขอบอกว่ามันฟินสุดๆ ข้อดีของการไปตอนเช้า เพราะคนจะไม่เยอะ ท่านจะมีเวลาชิว ๆ ถ่ายรูปโดยไม่ติดใคร ได้มีเวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศ และทิวทัศน์รอบ ๆ ที่สำคัญ คือ ไม่ร้อน ค่ะ ด้านในของพระวิหารหลังนี้ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป นามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลญาณ พิชิตมารวิกรม ปฐมสัมมาสัมโพธิญาณ ศรีพระฌานบรรพต” ประดิษฐานอยู่ในซุ้มเรือนแก้วสีทอง และวิหารหลังนี้มีตำนานเรื่องเล่า เกี่ยวกับสตรีนางหนึ่ง นามว่า “ แม่ย่าสุมาลี ” ท่านเจ้าอาวาสเล่าเกี่ยวกับแม่ยาสุมาลีไว้ว่า วันหนึ่งในปี พ.ศ 2555 ขณะที่ท่านกำลังอ่านหนังสืออยู่ในกุฏิ เวลาใกล้เที่ยง ได้ปรากฏร่างของสตรีนางหนึ่ง มีทรงผมหยิกฟูละเอียด ย้อมผมเป็นสีม่วง แต่งหน้าเข้ม ทาปากแดง มีผ้าสีดำคลุมตัว มีคอปกตั้งเหมือนแบบฝรั่ง เข้ามายืนนิ่งอยู่ตรงหน้า สักพักก็เอ่ยด้วยเสียงดุๆ ว่า “ท่าน ท่านมาอยู่ที่นี่นานแล้ว เมื่อไหร่จะเริ่มสร้างวิหาร” ท่านเจ้าอาวาสจึงตอบกลับในใจไปว่า “ก็ไม่มีทุนทรัพย์จะสร้างได้อย่างไร หาทุนมาให้สิ แล้วจะสร้างให้” สตรีท่านนั้นก็ตบกลับมาว่า “ได้ เดี๋ยวจะหาทุนให้” แล้วร่างนั้นก็หายไป ซึ่งปัจจุบันวิหารที่ว่านี้ คือ “วิหารสมเด็จองค์ปฐม” ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดดอยพระฌานนั้นเอง ภาพถ่ายโดยผู้เขียน