สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาบอกเล่าเรื่องราวที่ถ้าไม่เกิดขึ้นกับใครหรือถ้าใครไม่เคยเป็นก็ไม่มีทางรู้ นั่นก็คือ โรคไข้เลือดออก โรคไข้เลือดออกนั้นมาจากยุงที่นำเชื้อไวรัสไข้เลือดออกมาสู่คน เรา ๆ ท่าน ๆ ทั้งหลายคงพอจะทราบกันดีอยู่แล้ว ผมขอไม่ลงรายละเอียดเรื่องที่มาของโรคนะครับแต่ผมจะมาเล่าประสบการณ์ที่ได้ประสบพบเจอกับตัวเองมาให้อ่านกันครับ .. . เช้าของวันที่ 23 พฤษภาคม 2563 ผมตื่นขึ้นมากับอาการปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อย เป็นไข้ แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะการไปออกแรงเก็บมะม่วงเมื่อวานแน่ ๆ เนื่องจากไปเก็บมะม่วงในสวนเมื่อวานมากวนทำมะม่วงแผ่น จึงไม่ได้กังวลอะไร เลยกินยาพาราเซตามอลตามปกติของคนเป็นไข้แต่เมื่อผ่านไปหลายชั่วโมง ก็ไม่รู้สึกเลยว่าจะมีวี่แววว่าจะมีท่าทีที่ดีขึ้นเลย จนเวลาร่วงเลยผ่านไปอีกวัน .. . รุ่งเช้าของวันถัดมา จากอาการที่มีไข้สูงร่วมด้วยจึงไม่อยากตื่น เมื่อคนที่บ้านเรียกผมให้ไปโรงพยาบาลผมก็ไม่ยอมลุกไม่อยากไปไม่อยากตื่น แต่เหมือนตัวเองยังไม่สิ้นบุญ 55 เกิดเหตุการณ์รถของพี่ชายผมยางแบนขึ้น ด้วยความที่ครอบครัวของผมนั้นเป็นครอบครัวที่พูดคุยกันด้วยเสียงที่ดังมาก เวลามีปัญหาอะไรก็จะตื่นตูมโวยวายกันใหญ่ ผมเลยต้องตื่นไปส่งพี่ชายไปซ่อมยางรถที่มันแบน จากนั้นจึงแวะไปโรงพยาบาลเพราะเป็นทางผ่านระหว่างกลับบ้านพอดี ซึ่งผมที่อ่อนเพลียอย่างมากจึงหลับตลอดทางเลยครับ ไม่ได้บันทึกภาพเก็บเอาไว้เลย 55 พอถึงโรงพยาบาล คุณหมอก็เรียกไปซักประวัติถามว่า ผมไปไหนมา ทำอะไรมาบ้าง ผมจึงตอบไปอย่างละเอียด อ้อ แถวบ้านผมมีเด็กหนุ่มสองคนที่เป็นไข้เลือกออกด้วยนะครับ ผมลืมบอกท่านผู้อ่านไป พอซักประวัติเสร็จ คุณหมอก็ให้ผมไปเจาะเลือด พร้อมกับที่ผมมีไข้สูงถึง 41 องศาเซลเซียส คุณหมอเลยให้ผมกินยาพาราเซตามอลไป แต่ไข้ผมก็ยังคงที่ สูงลอย ๆ ไม่ลดลงเลย .. .เมื่อผลเลือดออกมาในวันแรกที่ผมไปตรวจ ผมมีค่าเกล็ดเลือดอยู่ที่ 200,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร และยังไม่แน่ชัดว่าเป็นไข้เลือดออกหรือจะเป็นโรคซิคุนกุนยา คุณหมอเลยให้ผมรักษาตามอาการ ให้ยาพาราเซตามอลและผงเกลือแร่แล้วก็กลับบ้านได้ พร้อมทั้งนัดให้ผมมาตรวจเลือดต่อจากนี้ทุกวัน .. . วันที่สองของการตรวจเกล็ดเลือดค่าของเกล็ดเลือดอยู่ที่ 170,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร วันที่สามอยู่ที่ 70,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร หายไป 100,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร จากที่ปกติคุณหมอจะให้กลับบ้านได้ แล้วค่อยนัดมาเจาะเลือดตรวจใหม่ของวันถัดไปอย่างที่เคยผ่านมา แต่กลับกลายเป็นว่าคุณหมอให้ผมนอนที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการ แล้วความทุกข์ทรมานจึงบังเกิดขึ้น .. . ในระหว่างที่นอนโรงพยาบาลนั้นผมก็มีไข้สูง แต่ครั้งนี้กินยาพาราเซตามอลก็หาย แต่แล้วก็เหมือนมีกรรมเก่า ผมเผลอไปกินน้ำวิตามินซีรสสตอเบอรี่ที่มีสีแดงเข้า ทั้งที่คุณหมอสั่งห้ามเอาไว้ว่า ห้ามกินของที่มี สีแดง สีดำ อันนี้เพราะอะไรผมก็ไม่ได้เสาะสืบถามครับ แต่ก็นั่นแหละครับพอตกดึกผมก็มีอาการหน้ามืด อ่อนเพลียถึงขั้นลุกไปเข้าห้องน้ำยังเหงื่อแตกหน้าซีด เหงื่อออก มือเท้าเย็น หิวน้ำคอแห้งตลอดเวลากระสับกระส่าย ชีพจรเต้นเบาแต่แรง มีซึม ๆ ปัสสาวะน้อยลง ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว (ซึ่งทราบภายหลังว่านี่เป็นสัญญานอันตราย) จนต้องย้ายผมไปนอนรอยังหน้าห้องหน่วยผู้ป่วยกึ่งวิกฤตต้องคุมปริมาณน้ำว่าเรากินเท่าไหร่ขับถ่ายออกเท่าไหร่ เก็บตัวอย่างปัสสาวะอยู่เรื่อย ๆ เจาะเลือดตรวจดูค่าของเกล็ดเลือดทุก ๆ 6 ชั่วโมง พยายามใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างทรมานสุด ๆ ครับ ค่าเกล็ดเลือดของผมตกไปอยู่ที่ 40,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร ค่าความเข้มข้นของเลือดอยู่ที่ 47% คุณพยาบาลบอกว่าปกติแล้วจะอยู่ที่ 32% แปลว่ามีภาวะเลือดออกข้างใน อื้อหือผมนี่ถึงกับจิตตกเลยครับ พูดกับตัวเองในใจว่าเราใกล้ความตายขนาดนี้เลยเหรอ .. .คุณหมอได้ใส่น้ำเกลือให้โดยรวมแล้วใส่น้ำเกลือไป 4 ถุงครับ ตั้งแต่วันที่ 26 – 30 พฤษภาคม 2563 ครับ คุณหมอก็น่ารักมากครับเฝ้าติดตามอาการ คอยมาถามไถ่ผมตลอดเวลา จนวันที่ 30 พฤษภาคม ผมมีเกล็ดเลือดอยู่ที่ 110,000 พร้อมกับมีอาการที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ คุณหมอจึงอนุญาตให้ผมกลับบ้านไปใช้ชีวิตปกติได้ครับ . .. อาการที่แสดงออกตอนผมอยู่บ้าน (อาการจะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ปัจจัยของแต่ละบุคคลนะครับ)ปวดเมื่อย ตัวร้อนมาก ปากแห้ง ปวดตรงบริเวณก้นกบ ปวดข้อต่อ ไข้สูงลอย กินยาพาราเซตามอลแล้วไข้ไม่ลดเลย อาการตอนผมอยู่โรงพยาบาล (อาการจะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ปัจจัยของแต่ละบุคคลนะครับ)อาการหน้ามืด อ่อนเพลีย เหงื่อแตก หน้าซีด ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปากแห้ง กระหายน้ำ กระสับกระส่าย ชีพจรเบาเร็ว ซึมลง ปัสสาวะน้อยลงวิธีการรักษาเบื้องต้นนะครับ : ถ้าสงสัยว่าตัวเองเป็นไข้เลือดออก ให้กินยาพาราเซตามอล ดื่มน้ำมาก ๆ น้ำเกลือแร่ยิ่งดีครับ เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะ ๆ ห้ามกินยาที่มีส่วนผสมของยาแอสไพริน และ ห้ามกินของที่มี สีแดง ที่ดำ นะครับ สรุปแล้วผมมีอาการเริ่มวันที่ 23 พฤษภาคมไปจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 วันที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมเป็นไข้เลือดออกรายที่ 3 ของหมู่บ้านครับ และวันที่ 25 มิถุนายน 2563 เป็นวันที่ผมเขียนเรื่องนี้อยู่นั้น ในหมู่บ้านของผมมีคนเป็นไข้เลือดออกรวมกันแล้วทั้งหมด 6 ราย ผมโชคดีที่รถพี่ผมยางแบนในวันนั้นผมจึงไปโรงพยาบาลแล้วได้รับการักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว แต่รายที่ 4 ของหมู่บ้านผม แกเป็นผู้สงอายุ อายุประมาณ 80 ปี แกได้จากไปเพราะเป็นไข้เลือดออกครับ แกมีอาการแทรกซ้อนจากโรคของวัยชราที่เป็นอยู่แต่เดิมแล้วบวกกับโรคไข้เลือดออกแกเข้าโรงพยาบาลหลังผมเพียงสองวัน ผมถึงอยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อบอกกล่าวทุก ๆ ท่านทั้งหลายว่า ไข้เลือดออกอันตรายกว่าที่คิดนะครับ ด้วยความห่วงใยจากใจจริงครับ อย่าประมาทในการใช้ชีวิต ผมรับรองได้เลยว่าใครไม่เป็นไม่รู้จริง ๆ ครับ ตอนนี้ผมก็ใช้ชีวิตตามปกติที่ระมัดระวังใช้ชีวิตบนความไม่ประมาทรักษาเนื้อรักษาตัวมากขึ้นกว่าเดิมขอขอบคุณครับ .. .ภาพประกอบโดยผู้เขียน