'ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำ ๆ' ได้ยินเพลงนี้ทีไรเหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้เราต้องคอยดูแลตัวเองมากเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน อันเป็นช่วงเวลาที่มีปัจจัยเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ฝนก็ตก แดดก็ออก อากาศร้อนสลับอากาศเย็น มิหนำซ้ำความชื้นและอุณหภูมิที่ลดต่ำลง ยังทำให้เราเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเราต้องรู้เท่าทันและเตรียมพร้อมรับมือกับโรคและภัยสุขภาพที่ควรระวังในหน้าฝนอยู่เสมอ จึงได้รวบรวมหลากหลายโรคภัยที่มักเกิดขึ้นในฤดูฝน การสังเกตอาการพร้อมทั้งวิธีการป้องกันมาฝากกันในบทความนี้ไข้หวัดธรรมดา (Common Cold) เป็นอาการเจ็บป่วยยอดฮิตที่มักจะเป็นกันมากในช่วงหน้าฝน เป็นโรคติดต่อที่มีสาเหตุจากเชื้อไวรัส (Virus) ส่วนใหญ่มีอาการไม่ร้ายแรงและสามารถหายได้เองภายใน 7 วัน ผู้ป่วยมักตัวร้อนเพราะมีไข้สูงกว่า 37.5 องศาเซลเซียส คัดจมูก น้ำมูกไหล มีอาการระคายคอ คอแห้ง หรือเจ็บคอ บางรายมีอาการอ่อนเพลียเล็กน้อย อาจมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและครั่นเนื้อครั่นตัวร่วมด้วยการป้องกันไข้หวัดที่ง่ายที่สุดคือ อย่าออกไปโดนละอองฝน ดื่มน้ำสะอาดและพักผ่อนให้เพียงพอ หรือรับประทานวิตามินซีอย่างสม่ำเสมอเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย แต่หากสังเกตอาการแล้วพบว่าตัวเองอาจเป็นไข้หวัด ในกรณีที่มีอาการไม่รุนแรง พยายามรับประทานอาหารให้ได้ตามปกติ ดื่มน้ำอุ่น สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำมให้ร่างกายอบอุ่น แต่หากมีอาการรุนแรง เช่น มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดหัวอย่างรุนแรง ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาตามอาการ ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะเด็กเล็กที่อาจมีอาการชักได้ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) อีกหนึ่งอาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับทางเดินหายใจที่มักมากับหน้าฝน ไข้หวัดใหญ่มักมีอาการเริ่มต้นคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา แต่จะมีความรุนแรงมากกว่า นอกจากจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ หายใจไม่สะดวกจากอาการคัดจมูกแล้ว อาการที่เด่นชัดของไข้หวัดใหญ่ คือการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบริเวณต้นแขน ต้นขา และลำตัวอย่างรุนแรง ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะอาจมีอาการรุนแรงทำให้ปอดอักเสบและชีวิตได้ นอกจากการป้องกันตัวเองขั้นพื้นฐานแล้ว เรายังสามารถฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ได้ปีละ 1 ครั้ง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ติดไข้หวัดใหญ่ได้นั่นเองเมื่อฝนตกหนัก หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมและน้ำขัง จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจทำให้เป็น โรคฉี่หนู (Leptospirosis) เพราะน้ำฝนจะพัดพาเอาเชื้อโรคมารวมอยู่ในบริเวณเดียวกัน และถึงแม้จะชื่อว่าโรคฉี่หนู แต่ยังมีสัตว์ชนิดอื่นที่เป็นพาหะนำโรคอีกหลายชนิด ทั้งวัว ควาย สุนัข และหมู ซึ่งสามารถแพร่เชื้อผ่านทางปัสสาวะของพวกมัน เมื่อคนที่ผิวหนังเป็นแผลหรือมีรอยขีดข่วนไปสัมผัสกับแหล่งน้ำที่มีเชื้อโรค จะทำให้เกิดอาการไข้สูงแบบเฉียบพลัน ปวดศีรษะ อาเจียน ตาแดง ไปจนถึงอาการที่มีความรุนแรงอย่างความดันโลหิตต่ำ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และส่งผลให้ตับและไตทำงานผิดปกติได้หลายคนอาจคิดว่าคนที่อยู่ในชุมชนเมืองเท่านั้นที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคฉี่หนู แต่ความจริงแล้วคนที่อยู่ในชุมชนเกษตรกรรม ชาวนา ชาวไร่ ผู้ที่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับปศุสัตว์ล้วนมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ สังเกตตัวเองหากมีบาดแผลตามตัว ห้ามออกไปเดินลุยน้ำหรือย่ำโคลนโดยเด็ดขาด ส่วนคนที่มีความจำเป็นต้องสัมผัสกับแหล่งน้ำท่วมขัง ควรสวมรองเท้าบูทที่ไม่มีน้ำขังอยู่ภายใน นอกจากนี้หากเกิดไข้สูงทันทีหลังออกไปลุยน้ำ ต้องรีบไปพบแพทย์และแจ้งประวัติการสัมผัสแหล่งน้ำ เพื่อจะเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันท่วงทีบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง ไม่เพียงแต่ทำให้เกิดโรคฉี่หนูเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งวางไข่และทำให้เกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของยุงลาย พาหะนำโรค ไข้เลือดออก (Dengue Fever) ซึ่งเป็นโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกมาแล้วหลายล้านราย ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจะมีอาการปวดหัว ตัวร้อน มีไข้สูง อาเจียน อ่อนเพลีย และมีผื่นหรือตุ่มแดงตามตัว หากมีอาการร้ายแรงและไม่ได้รับการรักษาทันเวลาอาจทำให้เสียชีวิตได้วิธีการป้องกันนอกจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออกแล้ว ยังต้องหมั่นสังเกตบริเวณรอบบ้านไม่ให้มีวัตถุหรือภาชนะที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขัง หลายคนมักใช้วิธีนอนกางมุ้ง ติดมุ้งลวดบริเวณประตูหน้าต่างของบ้าน ใช้ยาจุดกันยุงและทายากันยุง อีกทั้งสมัยนี้มีอุปกรณ์ป้องกันยุงหลากหลายประเภท เช่น เครื่องดักยุง ไม้ตียุง ซึ่งมีหลายยี่ห้อที่ราคาแตกต่างกันไป แต่ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้ยุงกัดจนเกิดโรคร้ายแรงนอกจากโรคและภัยสุขภาพที่มากับหน้าฝนจะเกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจแล้ว ยังสามารถทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับทางเดินอาหารได้อีกด้วย เพราะฤดูฝนมีความชื้นในอากาศมาก ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี ที่สำคัญน้ำที่เราใช้ในการอุปโภคบริโภคอาจไม่สะอาด เมื่อนำมาล้างเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ จึงอาจทำให้เกิดการปนเปื้อน จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราได้นั่นเองโดยโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยครั้งคือ โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน เกิดจากการรับประทานอาหารและดื่มน้ำที่ไม่สะอาด ทำให้อุจจาระเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ บางรายอาจปวดท้องและมีไข้อ่อน ๆ ร่วมด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเกิดภาวะอาหารเป็นพิษ ซึ่งจะมีอาการที่รุนแรงกว่าอุจจาระร่วงธรรมดา โดยเฉพาะอาการอาเจียนชนิดหมดไส้หมดพุง อาเจียนออกมาเป็นน้ำย่อย หรืออาจรุนแรงจนกระทั่งมีอาการเยื่อบุผนังลำไส้อักเสบ ทำให้อุจจาระเป็นเลือดหรือมีมูกปนได้ วิธีป้องกันคือ การเลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานเนื้อสัตว์กึ่งสุกกึ่งดิบหรืออาหารทะเลที่อาจมีโลหะหนักปนเปื้อนอยู่นั่นเองทั้งหมดเป็นตัวอย่างโรคและภัยสุขภาพที่เราควรระวังในหน้าฝน ยังมีอีกสารพัดโรคที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเราได้ ดังนั้นจึงควรดูแลตัวเองอยู่เสมอไม่ว่าฤดูกาลใดก็ตาม ง่ายที่สุดคือการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รักษาสุขอนามัย รับประทานอาหารเสริมหรือวิตามินเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และต้องป้องกันตัวเองจากปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรค ที่สำคัญคือการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นสังเกตอาการของตัวเอง หากพบว่าเข้าข่ายเป็นโรคใดโรคหนึ่งควรรีบไปพบแพทย์โดยทันท่วงที นอกจากการดูแลสุขภาพกายแล้ว สุขภาพจิตก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะความเครียดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะเจ็บป่วยได้ง่าย จึงอยากให้ทุกคนดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุขโดยปราศจากโรคภัยทุกประการเครดิตรูปภาพ- ภาพประกอบที่ 1 โดย Pexels : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 2 โดย Congerdesign : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 3 โดย Arisa Chattasa : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 4 โดย Skeeze : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 5 โดย Derneuemann : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 6 โดย Sponchia : PIXABAYข้อมูลอ้างอิงและข้อมูลศึกษาเพิ่มเติม- Experts Warn of Rainy Season Diseases : BANGKOKPOST- Denque Increase Likely During Rainy Season : WHO- Leptospirosis : WHO