รู้ทันหนี้ บัตรเครดิต ฉบับประสบการณ์ตรง ในการปลดหนี้ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่กำลังประสบกับปัญหาทางการเงิน อันเกิดจากการมีบัตรเครดิตหลายใบ ใช้จ่ายหมุนเวียนสะสมในวงเงินบัตรเครดิตจนเกิดเป็นหนี้ก้อนโตแบบไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีก็ไม่สามารถหาเงินมาหมุนเวียนชำระบัตรเครดิตใบต่าง ๆ ได้แล้ว ลองมาอ่านประสบการณ์ตรงในการปลดหนี้บัตรเครดิตของผู้เขียนกันสักนิดนะคะ อาจจะมีประโยชน์สำหรับหลาย ๆ ท่าน ที่กำลังหาทางออก จากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่สามารถปลดหนี้บัตรเครดิต และปิดยอดหนี้บัตรเครดิตทุกใบที่ปรากฎในเครดิตบูโร และผลต่อเนื่องของการติดประวัติในเครดิตบูโรที่ธนาคารไม่เคยบอกคุณ อันดับแรกต้องขออธิบายก่อนนะคะ เนื่องจากผู้เขียนมีบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด และสินเชื่อหมุนเวียน แยกเป็นธนาคาร A บัตรเครดิต 1 ใบ วงเงิน 50000 บาทธนาคาร B บัตเครดิต 1 ใบ วงเงิน 60000 บาท บัตรกดเงินสด 1 ใบ วงเงิน 60000 บาทธนาคาร C บัตรกดเงินสด 1 ใบ วงเงิน 85000 บาท และสินเชื่อหมุนเวียน วงเงิน 150000 บาท ก่อนหน้าที่จะติดประวัติเครดิตบูโร ต้องบอกว่า หมุนเงินแทบไม่ทันจริง ๆ กดเงินจาก บัตรนี้ ไปใส่คืนบัตรนั้น และจ่ายด้วยยอดขั้นต่ำ มาโดยตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง บัตรกดเงินสดของ ธนาคาร C ได้หมดอายุและไม่ได้รับการต่ออายุสมาชิก ส่งผลให้เมื่อชำระเงินเข้าไปแล้วไม่สามารถกดเงินสดออกมาหมุนเวียนใช้จ่ายและชำระบัตรเครดิต ธนาคารอื่น ๆ ได้อีก เมื่่อหมุนเงินไม่ทันสักระยะหนึ่ง ประกอบกับอ่านคำแนะนำต่าง ๆ จากกระทู้และ Website สุดท้ายจึงเลือกวิธีการหยุดชำระหนี้ เพื่อรอฟ้อง ตามคำแนะนำ แต่ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้หยุดชำระหนี้บัตรทุกใบพร้อม ๆ กัน และไม่เคยไม่รับสายจากธนาคาร หรือ บริษัทติดตามทวงถามยอดหนี้ที่ได้รับมอบหมายให้ติดต่อมาแจ้งชำระหนี้ จึงทำให้ทราบว่า นโยบายต่าง ๆ ในการช่วยเหลือลูกหนี้ แต่ละธนาคารไม่เหมือนกันเลย แต่วิธีที่ดีที่สุดที่จะปลดหนี้ และไม่ติดประวัติบูโรขั้นร้ายแรงคือ เป็นขั้นตอนของการประนอมหนี้ก่อนส่งฟ้อง Credit : www.canva.com แน่นอนว่า การผิดนัดชำระหนี้ ทำให้เราติดประวัติในเครดิตบูโร ส่งผลต่อการขอสินเชื่อต่าง ๆ ในอนาคต และในทางกลับกัน เมื่อเราเป็นหนี้บัตรเครดิต ธนาคารก็ไม่ได้ใจร้ายกับเราถึงขั้นจะส่งฟ้องทันที่ที่เราไม่ชำระหนี้ ผู้เขียนจึงขอแนะนำจากประสบการณ์ตรง ณ ตรงนี้เลยว่า หากท่านรู้ตัวว่าไม่สามารถชำระหนี้แล้ว ท่านยังไม่จำเป็นต้องชำระหนี้ก็ได้ สรุปสั้น ๆ ตามประสบการณ์ของผู้เขียนคือ 1. ไม่ควรปล่อยระยะเวลาให้เกิน 2 รอบบัญชีบัตรเครดิต หรือไม่เกินวันสรุปยอดของรอบบัญชีที่ 3 นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น หากบัตรเครดิตของท่าน สรุปยอดทุกวันที่ 5 ของเดือน และกำหนดชำระไม่เกินวันที่ 25 ของเดือน สมมุตินะคะว่า เดือนเมษายน บัตรของท่านสรุปยอดวันที่ 5 เมษายน และกำหนดชำระเงิน วันที่ 25 เมษายน นั่นหมายความว่า หากวันที่ 25 เมษายน ท่านยังไม่สามารถหากเงินมาชำระได้ ท่านสามารถชำระช้าได้อีก 1 รอบบัญชี คือ ไม่เกินวันที่ 25 พฤษภาคม แต่ไม่ควรเกินวันที่ 5 มิถุนายน เพราะถ้าถึงวันสรุปยอดในรอบบัญชีที่ 3 คือวันที่ 5 มิถุนายน ดังตัวอย่าง บัตรของท่านจะถูกยกเลิกในทันที และไม่สามารถเปิดบัตรใช้งานได้อีก แต่ถ้าท่านชำระเงินอย่างน้อย 1 เดือน ตามยอดที่ธนาคารกำหนด ท่านจะติดประวัติเครดิตบูโรแค่ชำระช้า แต่ไม่ติด Blacklist นั่นเอง ซึ่งเมื่อท่านหยุดชำระไป 1 รอบบัญชี จะมีเจ้าหน้าที่ติดตามทวงถามติดต่อไปหาท่านเพื่อแจ้งยอดขั้นต่ำสุดที่สามารถชำระได้เพื่อรักษาสถานะบัตรให้เป็นปกติ แนะนำควรรับโทรศัพท์เพื่อผลประโยชน์ของตัวท่านเองCredit : www.canva.com2. กรณีที่ท่านไม่สามารถทำตามขั้นตอนใน ข้อ 1. ได้ เมื่อพ้นระยะเวลา 3 รอบบัญชี และบัตรเครดิตของท่านได้ถูกยกเลิกถาวร เข้าสู่ขั้นตอนของการติดตามทวงถาม ในข้อที่ 2 นี้ ผู้เขียนแนะนำให้ "รับโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ติดตามทวงถาม" เพื่อสอบถามยอดขั้นต่ำสุดที่ท่านสามารถชำระได่ ในขั้นตอนนี้ ทางธนาคารจะยังไม่ส่งข้อมูลของท่านไปยังบริษัทกฏหมาย นั่นหมายความว่า ขั้นตอนนี้ หากเจรจาตกลงกันได้ ท่านก็ไม่ถูกส่งฟ้องศาลนั่นเอง ซึ่งในขั้นตอนที่ 2 นี้ ในแต่ละธนาคารมีนโยบายคล้าย ๆ กัน เมื่อท่านผ่อนชำระได้ทุกเดือนตามเงื่อนไขที่ตกลงกัน ซึ่งบางธนาคารเป็นแค่การตกลงกันทางโทรศัพท์ แต่บางธนาคารจะให้เขียนคำร้องคล้าย ๆ กับทำสัญญาขอประนอมหนี้ แต่ขั้นตอนนี้เป็นการตกลงกันว่าจะชำระเท่าไหร่ในแต่ละเดือน ไม่ใช่การทำสัญญาประนอมหนี้นะคะ และขอบอกว่าขั้นตอนนี้ หากคุยกับเจ้าหน้าที่ดี ๆ อธิบายถึงเหตุผลและความจำเป็นแล้ว ท่านจะได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากเจ้าหน้าที่เหล่านี้ และยอดที่ต้องจ่าย แต่ละเดือนไม่สูงด้วย บางธนาคารให้ท่านจ่ายได้ตามยอดขั้นต่ำปกติด้วยนะคะ ถึงแม้ว่าบัตรจะเปิดใช้งานไม่ได้แล้ว แต่ขอบอกว่า วิธีนี้ค่อนข้างดีคะ นอกจากจะไม่ถูกฟ้องแล้ว ประวัติในเครดิตบูโร ขึ้นเป็นประวัติชำระล่าช้า แต่เมื่อท่านชำระปิดยอดแล้วท่านสามารถขอเอกสารปิดยอด เพื่อยื่นขอสินเชื่อ ต่าง ๆ ได้ด้วย ยกตัวอย่าง ธนาคาร C บัตรกดเงินสด 1 ใบ วงเงิน 85000 บาท และสินเชื่อหมุนเวียน วงเงิน 150000 บาท ผู้เขียนหยุดชำระหนี้ 3 เดือน มีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาสอบถามให้ชำระหนี้ เจ้าหน้าที่สอบถามว่า ผู้เขียนสะดวกชำระเท่าไหร่ จากปกติ บัตรกดเงินสด ชำระขั้นต่ำประมาณ 4000 บาท และสินเชื่อหมุนเวียน ผ่อนชำระเดือนละ 4700 บาท เจ้าหน้าที่ธนาคาร C แนะนำให้ชำระทุกเดือน โดยให้ชำระบัตรกดเงินสด เดือนละ 1000 บาท และสินเชื่อหมนุเวียน เดือนละ 500 บาท เมื่อผ่อนชำระไปสักระยะหนึ่งทางธนาคารมีข้อเสนอปิดยอดด้วยส่วนลดค่อนข้างเยอะ คือ บัตรกดเงินสด จากยอดหนี้ 85000 บาท ให้ปิดยอดจำนวน 24000 บาท และ สินเชื่อหมุนเวียน จากวงเงิน 150000 บาท ซึ่งผ่อนมาระยะหนึ่งแล้วเหลือยอดหนี้ประมาณ 87000 บาท ได้รับข้อเสนอให้ปิดยอดจำนวน 25000 บาท ซึ่งธนาคาร C ไม่ได้ให้ผู้เขียนทำสัญญาประนอมหนี้แต่ให้ข้อเสนอชำระทุกเดือนตามยอดที่ตกลงกัน และให้ส่วนลดปิดบัญชีเยอะมาก ๆ ด้วย3. เมื่อท่านไม่สามารถทำตามใน 2 ข้อแรกได้แล้ว แต่ท่านไม่ต้องการให้ธนาคารฟ้องร้อง ท่านยังมีทางเลือกในการเจรจาขอประนอมหนี้ก่อนส่งฟ้องได้ แต่ต้องขอย้ำอีกทีว่า ท่านจะต้องรับโทรศัพท์ของเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ติดต่อไป แล้วท่านจะได้รับคำแนะนำดี ๆ การช่วยเหลือดี ๆ จากเจ้าหน้าที่ และท่านอาจได้รับส่วนลดยอดปิดบัญชีเพื่อเสนอให้ท่านหาเงินก้อนมาชำระ หรือทำเรืองให้ท่านประนอมหนี้ ชำระแบบรายเดือนในสัญญาระยะยาวได้ แต่ถ้าท่านทำสัญญาประนอมหนี้แล้ว ผิดเงื่อนไขไม่ชำระตามสัญญา ท่านจะถูกส่งฟ้องศาลทันทีนะคะ 4. สุดท้ายแล้ว เมื่อไม่สามารถชำระหนี้บัตรเครดิตตามเงื่อนไขต่าง ๆ ใน 3 ข้อแรกได้แล้ว ข้อมูลของท่านจะถูกส่งต่อให้สำนักงานกฏหมาย ซึ่งในขั้นตอนนี้ ท่านก็ยังมีทางเลือกในการชำระหนี้ เช่น การขอผ่อนชำระไปเรื่อย ๆ ทำสัญญากับสำนักงานกฏหมาย หรือ การขอส่วนลดยอดปิดบัญชี (การขอส่วนลดปิดบัญชีกับสำนักงานกฏหมายก่อนส่งฟ้องสามารถทำได้นะคะ แต่ได้ส่วนลดไม่มากและมีค่าธรรมเนียมด้วยนะคะ) หากไม่สามารถชำระได้จริง ๆ แล้วมีหมายศาล ส่งมาที่บ้าน ท่านยังสามารถเจรจา ทำสัญญายอม ในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อแบ่งชำระหนี้ได้ เช่น 15 เดือนเป็นต้น แต่ถ้าไม่ทำสัญญายอมก็ขึ้นอยู่กับศาลตัดสินว่าจะให้ท่านชำระเท่าไหร่อย่างไร ทั้งนี้ การที่ท่านปล่อยระยะเวลามาจึงถึงข้อ 4 จะส่งผลให้เมื่อท่านชำระปิดบัญชีแล้ว ต้องรอระยะเวลา 1 - 3 ปี จึงจะขอสินเชื่อใหม่ได้ ติด Blacklist นั่นเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงข้อ 4 ถึงแม้ว่าท่านจะได้รับส่วนลดปิดบัญชี แต่ส่วนลดจะไม่ได้มากเท่าในข้อ 2 นะคะ และยังมีค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมศาล หรือค่าทนายที่ถูกบวกรวมในยอดที่ต้องชำระด้วย สำหรับ ธนาคาร A บัตรเครดิต 1 ใบ วงเงิน 50000 บาท เป็นบัตรเสริมของคนอื่นอีกที ซึ่งผู้ถือบัตรหลักค้างชำระจนถึงขั้นฟ้องร้อง แต่สำหรับผู้เขียนได้ชำระเงินตามปกติ ณ วันที่บัตรหลักถูกฟ้องศาล ผู้เขียนมียอดหนี้ ในวงเงินนี้เหลืออยุ่เพียง 12000 บาท จากยอดหนี้จำนวนหนี้ ผู้เขียนได้ชำระเข้าไปทุกเดือน และมียอดหนี้จริง ๆ ในบัตรเพียง 2000 บาทเท่านั้น แต่ไม่สามารถชำระยอดปิดด้วยเงินจำนวนนี้ได้ ณ วันที่ขอปิดยอด สำนักงานกฏหมายแจ้งยอดที่ต้องชำระสูงกว่าความเป็นจริง มีการบวกค่าธรรมเนียมศาล และดอกเบี้ยที่สูงกว่ายอดปกติที่ต้องชำระ คือให้ชำระยอดปิดด้วยจำนวนเงินทั้งสิ้น 12000 บาท เท่ายอดหนี้ ณ วันที่ถูกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า ยอดที่ชำระไปตัดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมศาลนั้น บวกเข้ามาทุกเดือนอีกด้วย นี่คือเหตุผลที่ ผู้เขียนแนะนำให้ทุกท่านที่ประสบปัญหาเรื่องการชำระเงินไม่ควรรอให้ถึงขั้นตอนฟ้องศาล เพราะท่านจะต้องชำระเงินในยอดที่เต็มจำนวน พร้อมดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมศาลนั่นเอง ส่วน ธนาคาร C บัตรกดเงินสด 1 ใบ วงเงิน 85000 บาท และสินเชื่อหมุนเวียน วงเงิน 150000 บาท นั้น ผู้เขียนได้ทำครบทุกข้อที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นชำระแบบผ่อนผันตามยอดขั้นต่ำที่สามารถชำระได้ ขอประนอมยอดหนี้กับฝ่ายติดตามทวงถามของธนาคาร ขอประนอมหนี้ก่อนส่งฟ้อง และสุดท้าย ทำสัญญายอมผ่อนชำระที่ศาลเป็นระยะเวลา 15 เดือน ทั้งสองบัตร และผู้เขียนไม่สามารถชำระตามเงื่อนไขครบ 15 เดือนได้ สำนักงานทนายความอนุโลมให้ผ่อนชำระต่อได้ และสุดท้ายได้ทำการขอส่วนลดปิดบัญชี รวมกันทั้งสองบัตรในจำนวนเงิน 60000 บาท สรุปได้ว่า วิธีการที่ดีที่สุดในการปลดหนี้ ไม่ใช่การขอสินเชื่อเพื่อนำมาหมุนเวียนปิดหนี้ แต่ควรมีวินัยในการชำระหนี้ และคุยกับเจ้าหน้าที่ธนาคารโดยตรง ไม่ควรเงียบหายไปเฉย ๆ การที่ไม่รับโทรศัพท์จากพนักงานติดตามทวงถามหนี้ จะส่งผลให้ท่านพลาดโอกาlในการได้รับส่วนลดปิดบัญชี พลาดโอกาสในการขอผ่อนผันการชำระหนี้ และมีโอกาสถูกส่งฟ้องศาลอีกด้วย จากประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ในการหาวิธีการชำระหนี้บัตรเครดิตทุกใบนั้น แนะนำให้ท่านที่ประสบปัญหาในการชำระหนี้บัตรเครดิต ลองใช้วิธีการเจรจาเพื่อชำระต่อเดือนให้น้อยที่สุด และพยายามชำระทุกเดือน การมียอดชำระทุกเดือน แม้จะเป็นเดือนละ 500 บาท ธนาคารจะยังไม่สามารถส่งฟ้องได้ และจะยังอยู่ในระบบธนาคาร เมื่อท่านพร้อมชำระเงินคืน ท่านจะสามารถขอส่วนลดปิดบัญชีได้มากอีกด้วย