ฮัลโหลหนีห่าวค่าทุกคน~ ในที่สุดก็ได้ฤกษ์งามยามดีมาเขียนรีวิวท่องเที่ยวกันบ้างแล้ว เมื่อไม่นานมานี้ ไต้หวันเพิ่งประกาศขยายฟรีวีซ่าให้กับประเทศไทยเพิ่มอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 - ถึงวันที่ 31 ก.ค. 2564 เรียกได้ว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่วางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวไต้หวันเลยใช่มั้ยคะ ทางเราจึงถือโอกาสนี้มาเขียน รีวิว+แนะนำสำหรับใครหลายคนที่มีแพลนไปเที่ยวจิ่วเฟิ่น เมืองโบราณของไต้หวันที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ถ้าใครไปไต้หวันแล้วไม่ได้ไปที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึง เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ตัวเองให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน! ทริปนี้เราไปเที่ยวไต้หวัน 4 วัน 3 คืน และเป็นทริปที่จะอยู่แค่ในละแวกไทเปและเมืองรอบ ๆ เท่านั้น โดยทางเราได้แพลนว่าวันที่ 1 จะไปเที่ยวจิ่วเฟิ่นทั้งบ่าย การไปครั้งนี้เราได้จองไปกับทัวร์ของแอปพลิเคชัน Klook ค่ะ ที่จริงแล้วทริปไปไต้หวันรอบนี้เราไปเที่ยวแบบเดินทางกันเอง ไม่ได้ไปกับทัวร์อย่างจริงจัง หลายคนอาจจะงงว่า เอ๊ะ! แล้วทำไมวันที่ 1 ทางเราถึงไปกับทัวร์ได้ เดินทางไปจิ่วเฟิ่นเองไม่ได้เหรอ? คำตอบก็คือ ได้ค่ะ แต่การไปจิ่วเฟิ่นแบบเดินทางด้วยตนเองนั้นอาจจะไม่สะดวกและเปลืองพลังงาน เนื่องจากการเดินทางค่อนข้างลำบาก ต้องไปกับรถประจำทาง ยิ่งเมืองโบราณจิ่วเฟิ่นคนนิยมเดินช่วงกลางคืน ขากลับจะหารถประจำทางไม่ค่อยได้ (จากที่เราอ่านรีวิวคนอื่นมาอีกรอบ) ไหนจะเดินเท้าไกล เราจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางหลาย ๆ แบบ สุดท้ายก็ไปเจอทริปเที่ยวแบบหนึ่งวันจากซีเหมินไปจิ่วเฟิ่นแบบ One Day Trip ของแอปพลิเคชัน Klook ซึ่งจากประสบการณ์ที่เราได้เที่ยวมาแล้ว ก็รู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปและเที่ยวได้อย่างเต็มที่เลยทัวร์ที่เราไปนี้สามารถจองได้ผ่านแอปพลิเคชัน Klook หรือจองทางหน้าเว็บไซต์ได้เช่นกันค่ะ โดยค้นหาว่า “ทัวร์หนึ่งวันจากซีเหมิน (Ximen) ไปจิ่วเฟิ่น (Jiufen)” เป็นทัวร์ที่เดินทางไปเที่ยวจิ่วเฟิ่น เริ่มเดินทางตอน 13.30 น. ในระหว่างทางมีการแวะเที่ยวที่อื่น ๆ ก่อนจะไปถึงจิ่วเฟิ่นในช่วงเวลากลางคืนด้วยค่ะ ซึ่งสถานที่แวะเที่ยวได้แก่ สือเฟิน (Shifen) มีการพาไปชมน้ำตกสือเฟิน ไปปล่อยโคมลอยตามแนวรถไฟสายประวัติศาสตร์ และปิดท้ายด้วยการไปชมบรรยากาศที่จิ่วเฟิ่นเมืองโบราณของไต้หวัน โดยเพื่อน ๆ สามารถจองระบุวันที่จะไปและจ่ายเงินออนไลน์ได้เลยก่อนจะถึงวันที่จะไปจริง ๆ ซึ่งถ้าเพื่อน ๆ ไปกันหลายคนก็ให้แค่ 1 คน จองก็พอค่ะหลังจากจ่ายเงินและจองออนไลน์เรียบร้อยแล้ว ทางแอปเค้าจะส่งเมลมาให้ ซึ่งจะเป็นยืนยันหลักฐานการจองของเรา ในนั้นก็จะระบุเวลานัดหมายที่จะให้เราไปขึ้นรถทัวร์ของ Klook ซึ่งเวลานัดหมายของเราก็คือเวลา 13.30 น. สถานที่นัดหมายเค้าจะบอกเราตั้งแต่ก่อนจองทัวร์ค่ะ ซึ่งอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ทัวร์ของเราเค้านัดให้ขึ้นรถใกล้ ๆ กับ Ximen MRT Station ทางออก 4 ที่หน้าร้าน GaKuDen Bakeryเมื่อถึงวันที่ไปทริปเราก็ไปรอที่สถานที่นัดหมายก่อนเวลา 10-15 นาที ยังไม่มีใครมาเลยค่ะ ตอนยืนแรก ๆ เราก็แอบแปลกใจนิด ๆ ว่าตัวเองมาถูกรึเปล่า (หัวเราะ) แต่ทุกคนไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะสถานที่นัดหมายที่แอป Klook นัดจะเป็นที่ที่ทัวร์หลายบริษัทเค้ามักจะนัดให้นักท่องเที่ยวมาขึ้นรถทัวร์กันตรงนั้น ให้พยายามสังเกตรอบ ๆ เรายืนรอสักพักก็มีนักท่องเที่ยวหลายคนเดินมาคอยรถทัวร์เหมือนเราเลยค่ะ พอใกล้ถึงเวลา ไกด์ของแอป Klook เค้าจะประกาศเรียกชื่อคนที่เป็นคนจองทัวร์ค่ะ (ที่เค้าส่งเมลมายืนยันการจอง) เราก็แค่รอฟังแล้วก็ยกมือขึ้น เค้าจะให้สติ๊กเกอร์สีส้ม ๆ มาติดไว้ที่เสื้อค่ะ แล้วก็ขึ้นนั่งบนรถได้เลยหลังจากขึ้นไปนั่งบนรถทัวร์แล้ว ไกด์เค้าก็จะเริ่มพูดค่ะ โดยไกด์ที่ Klook จัดมาให้เราเค้าชื่อ คุณเรย์ เป็นไกด์ที่สามารถพูดภาษาจีนและอังกฤษได้ ก่อนจะบรรยายเค้าก็จะถามก่อนว่าจะให้บรรยายเป็นภาษาอะไร เนื่องจากทัวร์รอบที่เราไปนี้ ส่วนใหญ่แล้วมีแต่ชาวต่างชาติที่ไม่ใช่คนจีน มีทั้งคนไทย ฝรั่ง เกาหลี เป็นต้น ไกด์จึงบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ ตามแพลนทัวร์แรก เราก็จะมุ่งหน้าไปที่น้ำตกสือเฟิน (Shi Fen) ก่อน ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างทางไกด์ก็จะเล่าความเป็นมาของไต้หวันและพูดถึงน้ำตกสือเฟินคร่าว ๆ ให้เราได้ทราบ บรรยากาศในรถก็สะดวกสบายดีค่ะ ที่นั่งค่อนข้างกว้าง มีที่วางขา ที่วางขวดน้ำ และในรถทัวร์ไม่มีกลิ่นอับ ถือว่าโอเคเลยล่ะค่ะ (ระหว่างนั่งรถนี้ เราแนะนำว่าถ้าใครแบตโทรศัพท์เหลือน้อยก็ชาร์จกับพาวเวอร์แบงค์ไว้เลยค่ะ ลงไปจะได้ถ่ายรูปได้สะดวก ๆ ไม่ต้องกังวลแบตหมด)เมื่อเดินทางมาถึงน้ำตกสือเฟิน ก่อนลงรถทางไกด์เค้าก็จะนัดแนะกับลูกทัวร์ว่าจะใช้เวลาเดินเที่ยวที่นี่ 1 ชั่วโมง แล้วมาเจอกันที่สถานที่นัดหมายคือหน้าทางเข้าน้ำตกค่ะ ตอนอยู่ที่ซีเหมิน อากาศยังประมาณ 20-22 องศา (ลืมบอกว่าเราไปเที่ยวช่วงต้นมกราคม หลังปีใหม่ไม่นานค่ะ) แต่พอรถเริ่มออกนอกเมืองมาอากาศเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งตอนลงจากรถเมื่อถึงสือเฟินแล้วอากาศหนาวขึ้นมาก ๆ เราดูพยากรณ์เค้าบอกว่า 16-18 องศา ไกด์ถึงกับเตือนว่าให้เอาเสื้อหนา ๆ หรือผ้าพันคอลงไปด้วย เพราะลมแรงมาก อีกทั้งบริเวณที่เป็นน้ำตกอากาศจะเย็นกว่าที่อื่น ๆก่อนจะเดินไปถึงน้ำตกสือเฟิน ก็จะต้องเดินผ่านสะพานนี้ ซึ่งมันจะมีความเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวา ให้ความรู้สึกระทึกนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้มากอะไร ทำให้ใจเราพอหวิว ๆ มุมถ่ายรูปถือว่ามีหลากหลาย และบรรยากาศพาฟินที่สุด เนื่องจากลมเย็น ๆ กับน้ำตกที่ให้ความรู้สึกธรรมชาติ บริเวณที่ชมน้ำตกก็จะมีที่ให้นั่งชมด้วยค่ะ รอบ ๆ ก็จะมีร้านค้าขายของอยู่บ้าง และมีห้องน้ำสาธารณะให้เข้าอีกด้วย ดังนั้นเพื่อน ๆ ไม่ต้องกลัวเลยค่ะ ซึ่งการใช้เวลาชมน้ำตกอยู่ที่นี่เราคิดว่าภายในเวลา 1 ชั่วโมงนี่ถือว่าคุ้มเลยนะคะ ไม่มากไม่น้อยเกินไป กำลังพอดี เดินถ่ายรูปชมน้ำตกเพลิน ๆ เวลาเหลือเฟือเลยค่ะหลังจากชมน้ำตกสือเฟินแล้ว ก็กลับขึ้นรถเดินทางไปเที่ยวที่ถนนโบราณสือเฟินกันต่อ (ไกด์ตรงเวลามาก) ซึ่งจะใช้เวลาเดินทางแค่ 10-15 นาทีเท่านั้น ระหว่างที่นั่งบนรถ ทางไกด์ก็จะเล่าให้ฟังว่าถนนโบราณสือเฟินนี้ ผู้คนนิยมมาปล่อยโคมลอยกัน โดยในโคมลอยนั้นก็จะให้เราเขียนคำอวยพร คำขอต่าง ๆ ลงไปได้ และปิดท้ายด้วยการแนะนำร้านที่จะไปซื้อโคมลอย ซึ่งไกด์เค้าจะเป็นคนพาไปซื้อให้เลยค่ะไกด์บอกว่าจะให้เดินเที่ยวบนถนนโบราณสือเฟิน 1 ชั่วโมง ถนนโบราณนี้เป็นเส้นที่มีรถไฟตัดผ่าน และนักท่องเที่ยวนิยมมาปล่อยโคมลอยกัน ซึ่งเวลารถไฟผ่าน คนก็จะต้องไปหลบอยู่ข้าง ๆ แอบคล้ายกับตลาดร่มหุบของบ้านเราเลย นอกจากการลอยโคมที่เป็นที่นิยมแล้ว ยังมีเรื่องของร้านอาหารข้างทางที่จะต้องลองชิมด้วย นั่นก็คือ ไอติมถั่วตัด ที่เป็นของขึ้นชื่อที่นี่โดยเฉพาะเลย ใครไม่กินก็เหมือนมาไม่ถึง ช่วงที่เราไปถึงถนนโบราณสือเฟินนี้เป็นช่วงประมาณ 4-5 โมงเย็น อากาศก็จะเย็นขึ้นเรื่อย ๆ รู้สึกดีมาก เป็นถนนที่ล้อมรอบด้วยภูเขาสีเขียว ๆ สถานีรอรถไฟที่นี่ฟีลแอบคล้ายที่ญี่ปุ่นอยู่เหมือนกัน แถมมุมถ่ายรูปก็เยอะเลยค่ะสถานที่ต่อไปก็จะเป็นจุดหมายของการเที่ยววันนี้แล้วค่า นั่นคือ เมืองโบราณจิ่วเฟิ่น นั่นเอง จากถนนสือเฟินไปจิ่วเฟิ่นจะใช้เวลาประมาณ 50 นาที ระหว่างนั้นก็หลับเอาแรงบนรถได้เลย ในช่วงนี้ไกด์ก็จะเล่าสั้น ๆ ว่าเมืองโบราณจิ่วเฟิ่นนี้ จะมีลักษณะการสร้างบ้านเรือนเป็นชั้น ๆ ขึ้นไปค่ะ พอถึงจุดที่ต้องขึ้นเขา รถทัวร์ของ Klook เค้าจะขับขึ้นไปไม่ได้ โดยเราจะต้องลงจากรถ ไปต่อรถบัสสำหรับขึ้นเขาโดยเฉพาะ ซึ่งจะไปส่งเราที่หน้าจิ่วเฟิ่นเลยค่ะ (ตรงนี้ต้องเสียเงินเพิ่มเติมนะคะ ไม่รวมกับที่เราจ่ายทัวร์ไปตอนแรก เท่าที่จำได้ค่ารถประมาณ 15 TWD หรือประมาณ 15 บาทไทย) ซึ่งไกด์ก็จะเป็นคนพาเราไปขึ้นรถค่ะ ในรถบัสก็จะมีทัวร์จากคณะอื่นรวมมาด้วยเมื่อลงรถแล้วก็สามารถเดินเที่ยวได้เลย ไกด์ให้เวลาเที่ยวที่นี่ 2 ชั่วโมง อย่างที่หลายคนรู้ว่าเมืองโบราณจิ่วเฟิ่นนี้ มีร้านอาหาร ร้านขนม ร้านน้ำชายอดฮิตที่เป็นแลนด์มาร์กของจิ่วเฟิ่น จะบอกว่าขนาดเราไม่ได้ไปเดินช่วงวันหยุด คนยังเยอะมาก (แนะนำว่าถ้าใครอยากกินร้านอาหารที่นี่ควรจองคิวมาก่อน ซึ่งสามารถจองได้เลยผ่านแอป Klook) คงเพราะเป็นช่วงเวลายอดนิยม คือช่วง 18.00-20.00 กำลังถ่ายรูปกับโคมไฟสีแดงสวยเลย เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก็มีแต่นักท่องเที่ยวมาเดินกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี เรารู้สึกว่าคนเกาหลีจะชื่นชอบเที่ยวไต้หวันเป็นพิเศษเลย หากพูดถึงโลเคชันสุดฮิตที่คนนิยมมาถ่ายรูปเช็คอินกันที่จิ่วเฟิ่น ก็คงเป็นที่นี่ มองไปเห็นร้านน้ำชาที่มีโคมไฟเยอะ ๆ ต้องบอกว่าช่วงที่เราไปนั้นคนเยอะจนถ่ายรูปไม่ได้เลย อย่าหวังว่าจะได้ถ่ายรูปแบบโพสต์สวย ๆ แล้วไม่ติดคน เพราะเดินก็ไหล่เบียดแถมชนกัน คนก็แย่งกันถ่าย แย่งกันเซลฟี่ ขอแนะนำว่าถ้าใครอยากมาเดินเที่ยวจริง ๆ ไม่เน้นถ่ายรูปก็มาช่วงกลางวันได้นะคะ แต่ถ้าใครอยากได้บรรยากาศโคมแดงก็ต้องแลกมากับคนเยอะ ๆ ซึ่งมันก็สวยจริง ๆเมื่อเดินถ่ายรูปเสร็จ ทางเราก็แวะกินของอร่อยหลายร้านค่ะ อาจจะมีรูปมาฝากไม่มาก เนื่องจากลืมถ่ายและหน้ามืดตามัวเพราะความหิว (หัวเราะ) ไปเที่ยวช่วงเดือนมกราคมบรรยากาศกำลังดีเลยค่ะ เราแนะนำเลย หนาวไม่มากเท่าไหร่ยังอยู่ในจุดที่รับได้ บรรยากาศชิล ๆ เย็นสบาย อ๋อ…ลืมบอกไปว่าใครมาถึงแล้วก็อย่าลืมต่อแถวซื้อชานมไข่มุกนะคะ เพราะถ้าไม่กินก็เหมือนมาไม่ถึงไต้หวัน หลังจากเดินจนครบเวลาแล้ว ทางเราก็ไปยังสถานที่นัดเจอที่ไกด์นัด คือ หน้าทางเข้าตรง 7-11 ค่ะ ไกด์เค้าก็จะให้ยืนรอคนอื่น ๆ และนับคนเพื่อเดินขึ้นรถบัสคันเดิมที่เราขึ้นเขามา แล้วก็ไปต่อรถทัวร์อีกทีเพื่อเดินทางกลับซีเหมิน (Ximen) ซึ่งเค้าก็จะไปจอดส่งเราที่เดิมที่เราขึ้นรถเลยค่ะ เป็นอันจบทริป One Day เที่ยวจิ่วเฟิ่นแบบสบาย ๆ ไม่เหนื่อยมากเท่าไหร่หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังวางแผนไปเที่ยวไต้หวันเอง แล้วสนใจไปเที่ยวจิ่วเฟิ่นแบบที่ไม่ต้องต่อรถอะไรให้ยุ่งยาก ไปกับทัวร์ของ Klook ตอบโจทย์มากเลยค่ะ เพราะการเดินทางไปจิ่วเฟิ่นทั้งขาไปและกลับ ถ้าเราเดินทางเองด้วย MRT รถประจำทาง มันจะค่อนข้างหลายต่อและลำบากมาก โดยเฉพาะขากลับจากจิ่วเฟิ่น เท่าที่เราเห็นคือคนรอรถนาน แถมเสี่ยงด้วยค่ะถ้าใครอยากไปช่วงกลางคืน ดังนั้น เราจึงคิดว่าจองทัวร์ทริปนี้กับ Klook จึงค่อนข้างสะดวก บริการดี ไกด์พูดจาไพเราะ เราสามารถถ่ายรูป แวะเที่ยวสถานที่อื่น ๆ ได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับการเดินทางเลยค่ะ วันนี้ทางเราก็ขอจบการรีวิวเท่านี้นะคะ จบโควิดเมื่อไหร่เที่ยวให้หนำใจชาวเรากันไปเลย ยังไงก็ขอให้สนุกกับการไปเที่ยวน้า ไว้เจอกันบทความหน้าค่ะ~ สามารถจองทัวร์กับ Klook ได้ทางแอปพลิเคชัน Android / IOS สามารถจองทัวร์กับ Klook ได้ทางเว็บไซต์ www.Klook.com ภาพประกอบโดยผู้เขียน ทำรูปภาพประกอบบทความที่ 1-3 ด้วย Website Canva เครดิตรูปภาพประกอบที่ 1-3 แคปมาจากแอปพลิเคชัน Klookเครดิตรูปภาพประกอบที่ 4 จาก www.Klook.com ติดตามบทความอื่น ๆ ของยีนส์ (yyeennii) ได้ข้างล่างนี้เลยค่า!พากิน “กู โรตี ชาชัก” โรตีร้านดัง ย่านวัชรพลกังนัม คาลบี้ BBQ ปิ้งย่างสไตล์เกาหลีแท้ ราคาเบา ๆ ที่ห้าแยกวัชรพล!