ผมเป็นเจ้าของปลาตัวหนึ่ง เป็นปลาที่ซื่อสัตย์เยี่ยงสุนัข รู้ใจเยี่ยงแมว ผูกพันเยี่ยงคนรักภาพชายใส่หมวกอุ้มโหลใส่ปลายืนอยู่ริมน้ำกับชื่อหนังสือที่ว่า A Fish That Smiled At Me ปลายิ้มได้กับชายคนหนึ่ง ค่อนข้างดึงดูดความสนใจคนที่ชอบอ่านหนังสือภาพอย่างเราไม่น้อยเลยค่ะ ไม่นานมานี้ญาติของเรานำหนังสือมาแบ่งให้อ่านหลายเล่มมาก ๆ ทั้งหนังสือภาพและเรื่องสั้นต่าง ๆ แต่เพราะรู้สึกสะดุดตากับภาพและชื่อเรื่องที่ปกของเล่มนี้เป็นพิเศษ เราเลยเลือกหยิบขึ้นมาพลิกดูเรื่องย่อแล้วก็ได้พบกับประโยคสั้น ๆ เพียงไม่กี่ประโยคที่ปกหลังซึ่งทำให้เราที่กำลังลังเลว่าจะอ่านอะไรก่อนดีตัดสินใจนำหนังสือภาพเล่มนี้มานั่งอ่านเมื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาค่ะหนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในผลงานของ Jimmy Liao นักวาดภาพประกอบชาวไต้หวันผู้สร้างสรรค์หนังสือภาพสำหรับผู้ใหญ่ซึ่งโด่งดังมาแล้วหลายต่อหลายเล่ม ผลงานของเขาเป็นที่นิยมทั้งในและต่างประเทศจนถูกนำไปแปลไว้หลายภาษา นอกจากนี้บางผลงานยังได้รับการดัดแปลงทำเป็นละครเพลงรวมถึงภาพยนต์ด้วยค่ะ สำหรับ A Fish That Smiled At Me ปลายิ้มได้กับชายคนหนึ่ง ก็เป็นหนังสือภาพอีกเล่มที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์แอนิเมชั่นจนได้รับรางวัล Special Prize of the Deutsches Kinderhilfswerk ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน ประจำปี 2006 มาแล้ว A Fish That Smiled At Me ปลายิ้มได้กับชายคนหนึ่ง เป็นหนังสือภาพที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่เดินผ่านร้านขายสัตว์น้ำเป็นประจำค่ะ ในแต่ละครั้งที่เขาเดินผ่านร้านนี้จะมีปลาหน้ายิ้มตัวหนึ่งว่ายตรงมาหาราวกับเฝ้ารอที่จะได้ทักทายเขาอยู่ตลอด จนในที่สุดเขาก็เกิดถูกชะตาและตัดสินใจซื้อปลาตัวนี้นำกลับมาเลี้ยงที่บ้าน เจ้าปลาตัวน้อยคอยอยู่กับเขาทั้งในตอนทานข้าว ดูทีวี แม้กระทั่งอาบน้ำ มันคอยว่ายวนในโหลข้างตัวเขาราวกับเป็นเพื่อนคลายเหงา ทำให้ชายคนนี้รักปลาของเขามาก ๆ ค่ะแต่อยู่มาวันหนึ่งในคืนที่เงียบสงบเขาได้หลับและฝันไปว่าได้ออกเดินทางร่วมกับเจ้าปลาตัวน้อย ทั้งเข้าไปเต้นรำในป่า เดินผ่านทุ่งหญ้า ลอยคอในทะเลด้วยกันอย่างสนุกสนาน เขารู้สึกเหมือนปลาที่แหวกว่ายในทะเลได้อย่างอิสระเสรีแต่แล้วกลับพบความจริงที่ว่าตัวเองกลายเป็นเพียงปลาตัวหนึ่งในโหลใบใหญ่เท่านั้น ไม่ว่าจะพยายามฝ่าผนังใส ๆ นั่นเท่าไหร่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นได้ นั่นทำให้เขาตกใจจนสะดุ้งตื่นค่ะ เมื่อมองไปยังโหลปลาคู่ใจในครั้งนี้เขากลับรู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดได้ว่าบางทีเขาอาจกำลังขังปลาตัวโปรดไว้ในบ้านของเขาเอง นั่นเลยเป็นเหตุให้เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างซึ่งนำไปสู่การปลดปล่อยทั้งตัวเขาและเจ้าปลาในที่สุด ส่วนบทสรุปจะเป็นยังไงสามารถติดตามต่อได้ภายในเล่มได้เลยค่ะรีวิวสำหรับหนังสือภาพเล่มนี้ถูกนำมาแปลโดยคุณอนุรักษ์ กิจไพบูลทวี ซึ่งผู้แปลเลือกใช้คำแปลออกมาได้อย่างเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้งตรงประเด็นกับที่ผู้เขียนอย่าง Jimmy Liao ต้องการจะสื่อ ด้านในประกอบด้วยภาพประกอบที่มีลายเส้นสมกับเป็นงานของ Jimmy Liao ที่วาดด้วยลายเส้นเข้าใจง่ายแต่เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยในแต่ละภาพประกอบ ไม่จำเป็นต้องอ่านจากตัวอักษรก็สามารถตีความจากภาพได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีประโยคสั้น ๆ ประกอบบางหน้าเพื่อให้ผู้อ่านเข้าถึงเรื่องราวได้มากขึ้น ส่วนภาพประกอบเขาเลือกใช้สีที่ค่อนข้างสบายตาไม่ฉูดฉาดค่ะ มีการคุมโทนสีไปในโทนเดียวกันทำให้ระหว่างอ่านและดูรูปเรารู้สึกไหลลื่นไม่ขัดตา มีการเล่นสีที่โดดเด่นขึ้นมาบางจุดเพื่อดึงสายตาผู้อ่านไปยังจุดสำคัญที่เขาต้องการจะสื่อและเน้นให้เห็นองค์ประกอบที่สวยงามค่ะสำหรับเนื้อเรื่องนั้นแม้จะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่เรียกได้ว่าแฝงไว้ด้วยแง่มุมของชีวิตอย่างคาดไม่ถึงเลยค่ะ หนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนกระจกที่สามารถสะท้อนความคิดของผู้อ่านได้อย่างหลากหลายแล้วแต่มุมมองแต่ละบุคคล แต่ยังคงมีแก่นของความคิดในรูปแบบเดียวกัน เป็นหนังสือที่อ่านง่ายแต่พออ่านจบแล้วเรากลับต้องอ่านอีกครั้งเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ผู้วาดต้องการจะสื่อได้ถ่องแท้มากขึ้น สำหรับเราตีความหนังสือเรื่องนี้ออกมาในแง่ของความรักค่ะ อย่างที่หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมาบ้างว่าความรักไม่ใช่การครอบครอง แต่สำหรับหนังสือเล่มนี้นอกจากจะสื่อว่าความรักไม่ใช่การครอบครองแล้ว ความรักยังเป็นการให้อิสระแก่กันด้วยค่ะเมื่อเรารักใครซักคนหลาย ๆ คนคงมีความรู้คล้ายกับชายเลี้ยงปลาคนนี้ที่อยากเป็นเจ้าของและเก็บเจ้าปลาตัวนี้ไว้กับตัวเองไปตลอด แต่บางครั้งการตีกรอบไว้ตลอดเวลานั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดก็ได้จริงไหมคะ บางครั้งพื้นที่ในโหลแก้วที่ปลอดภัยนั้นอาจคับแคบเกินกว่าจะว่ายไปไหนมาไหนได้อย่างใจนึก ชีวิตของปลาที่ควรได้แหวกว่ายในท้องทะเลก็เหมือนชีวิตของคนเราที่ยังมีสิ่งต่าง ๆ รอให้ค้นพบอีกมาก แต่บางครั้งเพียงเพราะคำว่ารักอาจเป็นการเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้กับตัวเองมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งหนังสือเล่มนี้ทำให้เราเห็นถึงความสำคัญของการให้อิสระแก่กันมากขึ้นค่ะ เราสามารถรักและผูกพันกันมากเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้าความรู้สึกผูกพันนั้นส่งผลให้เกิดการกระทำที่ผูกมัดกันมากเกินไป จากสุขก็อาจอาจกลายเป็นทุกข์ได้ง่าย ๆ โดยไม่รู้ตัว ดังนั้นการไม่ยึดติดกันมากจนเกินไปถือเป็นอีกสิ่งที่จะทำให้หัวใจของเราเป็นสุข เหมือนกับที่ชายเลี้ยงปลาเลือกที่จะปล่อยวางและตัดสินใจทำบางสิ่งเพื่อเจ้าปลาแสนรักของเขาในที่สุดแต่อย่างไรก็ตามอย่าถึงขั้นปล่อยปละละเลยกันไปเสียก่อนนะคะ ไม่ว่ายังไงการเอาใจใส่กันและกันก็คือสิ่งสำคัญที่สุดไม่น้อยไปกว่าการให้อิสระแก่กันเลยค่ะสำหรับใครที่สนใจฉบับรูปเล่ม สามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือซีเอ็ดหรือสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ร้านหนังสือออนไลน์ได้เลยนะคะ ราคา 325 บาทเท่านั้น จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ a book รับรองว่าภาพสวย กระดาษดี สีคมชัด และเนื้อเรื่องให้ข้อคิดในชีวิต คุ้มค่าต่อการซื้อแน่นอนค่ะวันนี้เราคงต้องขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่บทความหน้านะคะสามารถติดตามบทความอื่น ๆ ได้ที่นี่เลยค่ะ : Kiki เครดิต : ภาพประกอบที่ 1 โดยนักเขียน / ขอบคุณรูปประกอบที่ 2 จาก Pexels / ภาพประกอบที่ 3 โดยนักเขียน