สวัสดีค่ะทุกคนช่วงนี้ด้วยความที่เราว่างแสนว่างประกอบกับนึกครึ้มอกครึ้มใจยังไงขึ้นมาไม่รู้ เลยถือโอกาสจัดตู้หนังสือกลางบ้านครั้งใหญ่ซะเลยค่ะ ไม่รู้มีใครเป็นอย่างเราบ้างหรือเปล่าที่เวลารื้อหนังสือออกมาจากตู้ทีไรจะเกิดอาการหยิบเล่มนี้ก็คิดถึง จับเล่มนั้นก็อยากอ่านซ้ำ คว้าอีกเล่มมา เอ๊ะ เล่มนี้ดองมานานแค่ไหนแล้วนะ ฮ่าาา เป็นต้องเผลอรำลึกนั่นนี่แล้วพลิกเปิดอ่านทุกทีมาคิดๆดูแล้วไม่น่าเชื่อเหมือนกันนะคะว่าตั้งแต่เล็กจนโตเราจะมีหนังสือเยอะแถมหลายแนวขนาดนี้ เป็นหนังสือที่คุณพ่อคุณแม่ซื้อให้บ้าง เก็บเงินซื้อเองบ้าง เพื่อนซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดบ้าง ว่ากันตามจริงแล้วหนังสือแต่ละเล่มก็มีสตอรี่ที่มาแตกต่างกันไป อดคิดถึงตอนได้มาไม่ได้เหมือนกันนะคะ ที่สำคัญพอได้เห็นหนังสือเล่มเก่าๆที่เคยอ่านตอนเด็กก็ทำให้คิดถึงช่วงวัยเหล่านั้นตามมาด้วยค่ะ บางเล่มพอหยิบขึ้นมาอ่านอีกครั้งจากที่เคยไม่เก็ทในบางจุดก็กลายเป็นว่าสามารถเข้าใจมุมมองหลายๆอย่างที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้มากขึ้น อย่างหนังสือเรื่อง แว้งที่รัก ที่เราจะนำมารีวิวในวันนี้ค่ะ( ภาพถ่ายโดยผู้เขียน )คำโปรยบนหน้าปกวันวานของเด็กไทยพุทธ ท่ามกลางผองเพื่อนมุสลิมในอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส ดินแดนที่อบอวนด้วยความรักและความเอื้ออาทรของคนต่างศาสนาบางส่วนจากปกหลัง"ถ้ามีใครถามผมว่าอำเภอแว้งอยู่ที่ไหน อยู่ไกลไหม ผมจะยื่นหนังสือเล่มนี้ให้พร้อมกับบอกว่า นี่ไง ไม่ไกลเลย แว้งที่รักไม่เพียงแต่ทำให้อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาสเท่านั้นที่ใกล้เข้ามา หากรวมถึงทุกอำเภอ ทุกหมู่บ้าน ที่ความรักและเสียงหัวเราะของเด็กๆถูกกลบกลืนไว้นานปี ในชีวิตจริง ผมมีเพื่อนอย่าง 'น้อย' เชื่อว่าเราแทบทุกคนก็ต่างมีเพื่อนน่ารักอย่างน้อยในวัยเยาว์ นี่ไม่ใช่เรื่องดีมากๆหรอกหรือ ที่วันนี้เพื่อนชะโงกตัวออกมาจากหน้าหนังสือ จูงมือเราพากลับไปในวัยวันอันแสนสนุกนั้น แว้งที่รัก น่าอ่านมากครับ" - บินหลา สันกาลาคีรีรีวิวโดยเราเองแว้งที่รัก นอกจากจะเป็นเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของรายวิชาภาษาไทยแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังเป็นวรรณกรรมเยาวชนเรื่องโปรดในวัยเด็กของเราอีกเล่มค่ะ แต่งโดย ชบาบาน หรือ ดร.ขวัญดี อัตวาวุฒิชัย ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตวัยเด็กของเธอตอนที่อาศัยอยู่ในอำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาสเมื่อหลายสิบปีก่อน ออกมาเป็นเรื่องราวผ่านตัวอักษรที่เรียบเรียงอย่างเรียบง่ายแต่เห็นภาพได้อย่างชัดเจน โดยมีตัวละครที่ชื่อว่า น้อย เด็กสาวผู้เต็มไปด้วยชีวิตชีวาช่างพูดช่างคุย เป็นคนพาทุกคนไปพบกับเรื่องราววิถีชีวิตอันหลากหลายของผู้คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าประทับใจ เครดิตภาพ : Pixabayด้วยความที่วัยเด็กเป็นวัยที่บริสุทธิ์ อะไรๆก็ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่และสนุกสนานไปแทบทุกอย่าง การดำเนินเรื่องผ่านตัวละครที่เป็นเด็กจึงช่วยทำให้หนังสือเล่มนี้มีสีสันและเสน่ห์ในทุกๆบทอย่างเป็นธรรมชาติ น้อยเองก็เป็นเด็กอีกคนที่ขี้สงสัย ชอบที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว ทำให้เราเหมือนได้ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชาวไทยมุสลิมร่วมไปกับเธอด้วย เนื่องจากเธอเป็นเด็กไทยพุทธที่อาศัยในจังหวัดที่ผู้คนนับถือหลายศาสนา มีคนหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ร่วมกัน เธอจึงมีโอกาสได้พบเจอความแตกต่างมากมายทั้งความเชื่อและความคิด แต่สิ่งเหล่านั้นกลับไม่มีผลอะไรต่อมิตรภาพของเธอกับเพื่อนๆเลยค่ะ น้อยมีเพื่อนสนิทเป็นชาวมุสลิม สนุกไปกับวันสำคัญของชาวมุสลิมอย่างวันฮารีรายอ ชื่นชอบที่จะได้พูดภาษามลายู ได้ชมการแต่งกายที่สวยงามของชาวมุสลิม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงไม่ลืมที่จะสวดมนต์ก่อนนอน ตักบาตร และปฏิบัติตามวิถีชาวพุทธ โดยที่ทั้งเธอและเพื่อนต่างฝ่ายต่างพยายามเรียนรู้และทำความเข้าใจวัฒนธรรมของกันและกันและไม่ได้นำความต่างเหล่านั้นมาทำให้กลายเป็นความแปลกแยก พวกเธอเลือกที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แบ่งปันและจริงใจต่อกันเครดิตภาพ : Pixabayเรื่องราวทั้งหมดที่ดำเนินไปแบบเรื่องเล่าสนุกๆของเด็กๆที่ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติไหน นับถือศาสนาใด ต่างมีมุมมองที่ตรงกันว่าเราทุกคนล้วนเป็นคนไทยด้วยกับแทบทั้งสิ้น ในตอนเด็กเรามองว่าหนังสือเล่มนี้สนุกเพราะมีแต่เรื่องที่เราไม่เคยรู้ จนเมื่อเราโตขึ้นและได้หยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกครั้งในวันนี้ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นไปกับเนื้อหาเหล่านี้จนพูดไม่ถูกเลยค่ะ เราได้เข้าใจอีกแง่มุมที่ผู้เขียนแฝงไว้ชัดเจนมากขึ้นนั่นคือสังคมที่สงบสุขไม่ใช่สังคมที่ทุกคนคิดแบบเดียวกันหมด แต่เป็นสังคมที่ทุกคนยอมรับและเข้าใจในความแตกต่างของกันและกันได้อย่างแท้จริง( ภาพถ่ายโดยผู้เขียน )และด้วยความที่บ้านเกิดเราอยู่แถบภาคเหนือตอนบน ดังนั้นในวัยเด็กสำหรับเราภาคใต้จึงถือเป็นสถานที่ที่ไกลตัวมากๆ การได้อ่านหนังสือเล่มนี้เลยเป็นเหมือนการได้ยกอำเภอแว้งมาวางอยู่ตรงหน้า ได้เห็นสังคมที่ไม่เคยเห็นผ่านน้อยและเพื่อนๆของเธอ ชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ เต็มไปด้วยความรักความเอื้ออาทรต่อกัน สังคมที่อยู่กันแบบครอบครัว พึ่งพาอาศัยกัน เรียนรู้กันไป แค่เรื่องธรรมดาอย่างการที่ต่างฝ่ายต่างนำกับข้าวจากบ้านตัวเองมาแล้วนั่งกินด้วยกันที่ใต้ต้นมังคุดก็ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมใจ ล้วนเป็นชีวิตที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความสุข หลายครั้งที่เวลาเราอ่านแล้วเห็นว่าน้อยทำอาหารท้องถิ่นอย่างข้าวยำกับน้ำบูดู เราก็อยากจะลองหามากินบ้าง อยากลองไปสวนมะพร้าวแล้วทำขนมกอ อยากมีโอกาสเจอหมอผีผู้วิเศษ ได้ลองไปฉลองในวันฮารีรายอ และอีกมากมายที่ดึงดูดให้เราสนใจและอยากลิ้มลองสัมผัสชีวิตแบบนั้น เพราะชบาบานถ่ายทอดออกมาได้อย่างสนุกสนานชวนให้ยิ้มตามจนเผลอพลิกหน้าถัดไปเรื่อยๆและอ่านจบแบบไม่รู้ตัวเลยล่ะค่ะ และเราก็มั่นใจว่าถ้าทุกคนได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะรู้สึกหลงรักไปกับความน่าอยู่ของอำเภอแว้งที่แตกต่างแต่ไม่แตกแยกนี้เหมือนกับเราอย่างแน่นอน ( ภาพถ่ายโดยผู้เขียน )แม้ว่าจะเป็นหนังสือที่ตีพิมพ์มานานแล้วแต่ยังคงหาซื้อได้ตามเว็บไซต์ร้านหนังสือออนไลน์ หรือคนที่ไม่ถนัดเก็บเล่ม หนังสือเล่มนี้ยังมีรูปแบบของ E book อีกด้วยค่ะ ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากให้ทุกคนได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้กันนะคะ เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยเรื่องเล่าสนุกๆแฝงข้อคิดดีๆที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้แล้ว ยังช่วยปรับมุมมองของหลายๆคนที่อาจมีภาพจำจากสื่อต่างๆว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ความรุนแรงให้กลายเป็นความคิดใหม่ที่ว่า...แท้จริงแล้วในยามสงบนั้นจังหวัดนราธิวาสและสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีความสวยงามและน่าอยู่อย่างที่เราอาจไม่เคยรู้และคาดไม่ถึงเลยทีเดียวค่ะ( ภาพถ่ายโดยผู้เขียน )