ขอบคุณภาพหน้าปกจาก https://pixabay.com อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ ถ้าหากคุณจะเห็นรีวิว แอนิมอล ฟาร์ม (Animal Farm) กันจนเกลื่อนแล้ว เพราะนี่มันไม่ใช่แค่รีวิว แต่มันเป็นความรู้สึกที่อยากระบายหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้ในแบบของผมจริง ๆ เพราะจากที่ท่านนายก พล.อ. ประยุทธ์ จันโอชา ได้แนะนำกับหนังสือน่าอ่านแอนิมอลฟาร์ม ที่เขียนโดย จอร์จ ออเวลล์ ฉบับภาษาไทย จนเป็นข่าวที่ถูกวิพากวิจารณ์กันต่าง ๆ นานา ผมก็เป็นคนหนึ่งแหละที่ได้ลองหามาอ่านกับเขาด้วย ทั้ง ๆ ที่ส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบกับหนังสือแปลสักเท่าไหร่ ยิ่งเป็นวรรณกรรมอมตะ ที่ย้อนเวลากลับไปเกือบร้อยปีด้วยแล้วนี่ ก็นึกไว้แล้วแหละ ว่าคงจะเป็นยานอนหลับขนานดี ดี ๆ นี่เอง แต่ตอนนั้นก็เพียงแต่คิดว่า เอาน่า ไม่อยากจะตกเทรนด์กับเขา ก็เท่านั้นจริง ๆ แต่เปล่าเลยครับ มันกลับตรงกันข้ามที่ผมคิดไว้ทั้งหมด (ในความคิดผมเท่าที่เจอ) ปัญหาหนึ่งของนิยายแปลส่วนใหญ่ก็คืออุปสรรคในการแปล เพราะถ้าหากผู้แปล แปลออกมาตรงตรง ตามตัวอักษร ด้วยภาษาที่ต่างกันก็เลยทำให้อรรถรสทางด้านภาษานั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง แต่ในทางกลับกัน ถ้าแปลออกมาในสำนวนของผู้แปลเองจนเกินไป บางทีก็อาจยิ่งแล้วไปใหญ่ เพราะกลายเป็นสื่อสารไปอีกอย่างหนึ่งแทน จากฉบับที่ผมได้ลองอ่านคือสำนวนในการแปล ของ บัญชา สุวรรณายานนท์ สำนักพิมพ์ ใต้ฝุ่น สตูดิโอ มันเปลี่ยนความคิดของผมไปอีกแบบหนึ่งเลย เพราะภาษามันดูไหลลื่นไปหมด (ผมไม่แน่ใจว่าฉบับอื่นเป็นอย่างนี้ไหม) บวกกับเนื้อหาที่น่าติดตามจนแทบจะวางไม่ลง ผมนึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าวรรณกรรมที่เขียนไว้กว่า 70 ปีที่แล้วมันจะเสียดสีการเมืองในยุคปัจจุบันได้ถึงแก่นขนาดนี้ แอนิมอล ฟาร์ม (Animal Farm) หรือในชื่อภาษาไทย สงครามกบฏของสรรพสัตว์ (ชื่อตามฉบับที่ผมอ่านนะครับ เพราะจะมีชื่อแปลอื่นในฉบับแปลอันอื่นด้วย) ได้เล่าเรื่องถึงฟาร์ม แมนเนอร์ ที่มีนายโจนส์ เป็นเจ้าของฟาร์ม โดยในเรื่องได้ใช้การเล่าแบบเหนือจริง (Magical Realism) โดยพวกสัตว์ได้ค่อย ๆ ถูกปลูกฝังความคิดจากหมูพ่อพันธุ์ตัวหนึ่ง (ซึ่งหมูในเรื่องจะเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญากว่าสัตว์อื่น และอ่านเขียนหนังสือเป็นด้วย) จากความคิดที่ดูคล้ายจะสวยหรูในทีแรกนั้น ก็เพื่อปลดแอกตัวเองและบรรดาสรรพสัตว์ในฟาร์มจากการกดขี่ของมนุษย์ เสรีภาพของสัตว์ที่จะเป็นเจ้านายของตัวเอง จนในที่สุดพวกสัตว์ในฟาร์มแห่งนั้นก็สามารถก่อกบฏขึ้นได้จนสำเร็จ ซึ่งในเหตุการณ์ครั้งนั้นมีหมูหนุ่ม 2 ตัวที่เป็นผู้นำ คือ หมูสโนว์บอล และ หมูนโปเลียน เมื่อยึดอำนาจได้แล้ว พวกสัตว์ก็ขับไล่นายโจนส์ออกไปจากฟาร์ม พร้อมกับได้ตั้งกฎ 7 ประการขึ้น1. สิ่งใดไปด้วยสองขาย่อมเป็นศัตรู2. สิ่งใดไปด้วยสี่ขาหรือมีปีกย่อมเป็นเพื่อน3. ห้ามสัตว์ทุกตัวสวมเสื้อผ้า4. ห้ามสัตว์ทุกตัวนอนบนเตียง5. ห้ามสัตว์ทุกตัวดื่มสุรา6. ห้ามสัตว์ทุกตัวฆ่าสัตว์อื่น7. สัตว์ทุกตัวเสมอภาคกัน แต่เมื่อพอเวลาผ่านไปกฎที่อยู่ภายใต้อำนาจของผู้มีอำนาจก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปอย่างแยบยล การแข่งแย่งชิงดี ทั้งภายในและภายนอก ผลประโยชน์ที่แอบแฝง อุดมการณ์และคำมั่นสัญญาที่เคยอ้างไว้ ทุกอย่างมันค่อย ๆ กลืนกินไปจากเจตนาเดิม ด้วยข้ออ้างต่าง ๆ นานา วาทกรรมอันคมคายที่สามารถพลิกสีดำให้กลายเป็นสีเทา ภาพลักษณ์กับชาตินิยมจอมปลอมที่ถูกปลูกฝัง กลับกลายเป็นความเลวทรามในอีกรูปแบบ ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นโดยพวกสัตว์อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำแล้วเริ่มชินไปกับมัน จริง ๆ แล้ววรรณกรรมเรื่องนี้จะเป็นหนังสือที่ผู้เขียนต้องการสะท้อนการเมืองในประเทศรัสเซียสมัยนั้นนะครับ แต่ไม่รู้ทำไมผมกลับรู้สึกว่า มันเหมือนกับบริบทการเมืองบ้านเราเสียมากกว่าด้วยซ้ำhttps://pixabay.com ใครยังไม่อ่านก็ลองดูนะครับ เพราะนี่คือหนังสือที่ถูกคัดเลือกให้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาโดยกระทรวงศึกษาธิการ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่ถูกยกให้เป็น 1 ใน 100 วรรณกรรมดีเลิศของศตวรรษ 20 สิ่งที่ผมอดไม่ได้และอยากจะกล่าวปิดท้ายอีกสักหน่อยก็คือ ประเด็นที่หลายคนสงสัย ว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่หนังสือเล่มนี้เหมือนจะเป็นการเสียดสีระบบเผด็จการ แต่ไหนกลับถูกหยิบยกมาแนะนำโดยท่านนายกประยุทธ์ ก็เหมือนอดีตนายยกอีกท่านอย่างคุณอภิสิทธิ์บอกนั่นแหละ หลังจากนักข่าวได้ถามท่านว่าเคยอ่าน แอนิมอลฟาร์ม หรือยัง ท่านก็ว่า “เป็นห่วงคนที่อ่าน แล้วไม่เข้าใจมากกว่า...” ไม่รู้สิครับ ถ้าหากฟังแล้วจะดูงง ๆ หรือไม่นั้นบางทีอาจเป็นผม (หรือพวกเราเองต่างหาก) ก็ได้ ที่อ่านแล้วไม่เข้าใจก็ไม่รู้เหมือนกัน