ในช่วงเวลานี้ที่เรากำลังเผชิญกับวิกฤติการณ์โรคระบาดโควิด19 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากมายทั่วโลกในทางตรงก็คือมิติด้านสุขภาพและทางอ้อมนั้นก็คือมิติด้านเศรษฐกิจที่ย่ำแย่จากผลกระทบมาตราการต่างๆของภาครัฐที่พยายามจะควบคุมการแผ่ระบาดของโรคนี้ซึ่งธุรกิจและห้างร้านต่างๆที่โดนผลกระทบจากปัญหานี้ต่างพากันพยายามปรับตัวเองเพื่อที่จะให้อยู่รอดให้ผ่านวิกฤติการณ์นี้ไปให้ได้ดังนั้นการที่เราจะปรับตัวในธุระกิจไม่ว่าจะเป็นช่วงกำลังเผชิญกับวิกฤตินี้หรือวิกฤติอื่นๆที่จะเจอในอนาคตเราจำเป็นต้องเข้าใจอดีตหรือประวัติศาสตร์ด้านเศรษฐกิจของเราที่ผ่านมาของเราก่อนเพื่อให้เข้าใจตัวตนของเราที่ผ่านมาในอดีตและหากเราเข้าใจตัวตนของเราแล้วเราก็จะสามารถคาดการณ์อนาคตของเศรษฐกิจเพื่อที่จะปรับตัวในธุระกิจให้อยู่รอดได้ดังนั้นวันนี้ผมเลยมีหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติเศรษฐกิจที่ผ่านมาแนะนำให้อ่านกันนะครับ ชื่อหนังสือ: เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี ผู้เขียน: ลงทุนแมนเนื้อหาหนังสือภาพรวม ในเล่มนี้จะเป็นหนังสือสรุปประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ ค.ศ 1100 - ค.ศ. 2019 ซึ่งเนื้อหาในเล่มมีทั้งหมด 25 ตอน โดย14ตอนแรกจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ 1,000 ปีแรกและบทที่ 15 ถึงบทที่ 25 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ100 ปีหลัง ซึ่งผู้เขียนได้มีการเล่าเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญต่างๆในประวัติศาสตร์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจในยุคหรือช่วงเวลานั้นๆโดยใช้ภาษาที่ง่ายกระชับต่อความเข้าใจอาทิเช่นเหตุการณ์โรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่โลกมีมานั้นก็คือ Black Death (กาฬโรค) ในยุคนั้นประมาณช่วงค.ศ1300 ที่ผู้คนบนโลกสนใจแต่การหาวิธีป้องกันผลผลิตทางการเกษตรและปศุสัตว์จากภัยธรรมชาติหรือสัตว์หรือการป้องกันคนอื่นมายึดดินแดนของตนแต่ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าจากสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆขนาดไม่เกิด 5 ไมโครเมตรซึ่งส่งผลสุขภาพของเราและทำให้ประชากรบนโลกในยุคนั้นต้องเสียชีวิตไป 75ล้านคนหรือ1ใน3ของประชากรทั้งหมดบนโลกและในเวลานั้นยังไม่สามารถคิดค้นยารักษาโรคนี้ได้ซึ่งต้องใช้เวลาอีก200ปีต่อมาจึงจะมียารักษาเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่1และ2 หนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดที่ผู้คนบนโลกมีความเชื่อที่แต่ต่างกันจนลุกลามเป็นความขัดแย้งและท้ายที่สุดก็ลงท้ายด้วยการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันจนเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินกันทั้งสองฝ่ายนั้นก็คือสงครามโลกครั้งที่1ในปี ค.ศ 1914 และสงครามโลกครั้งที่2ในปี ค.ศ 1940ซึ่งเหตุการณ์ที่ผมได้กล่าวมาเป็นเพียงบางส่วนของเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ที่ได้เล่าและร้อยเรียงเรื่องราวต่างๆอย่างไหลเลื่อนและสนุกสนานน่าติดตามจนผมนั้งอ่านจนจบในครั้งเดียวเลยครับประเด็นสำคัญที่ผมได้จากการอ่านหนังสือเล่นนี้มี 3 ข้อข้อที่1 สิ่งที่ทรงพลังที่สุดในการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์นั้นก็คือความเชื่อ จากเนื้อหาในหนังสือที่ได้กล่าวถึงเหตุการ์ต่างๆมากมายที่ส่งผลต่อเศรษกิจโลกไม่ว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้ายล่วนแล้วเกิดมาจากจุดเริ่มต้นคือความเชื่อของคนเราทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นการออกเดินทางข้ามทะเลอันไกลโพ้นไปยังพื้นที่ที่ไม่เคยรู้จักจากยุโรปมาอินเดียหรือจีนในปัจจุบันส่งผลให้เกิดระบบเศรษกิจการค้าขายเกิดขึ้นเป็นวงกว้างนั้นก็เป็นเพราะความเชื่อที่ว่าโลกนั้นกลมไม่ใช่แบนหรือการใช้งเงินตรานำมาเป็นสือกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆในระบบเศรษกิจนั้นก็เป็นเพราะเราให้คุณค่าในสิ่งสมมุติร่วมกันนั่นก็คือเงินตราหรือแม้กระทั้งเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่1และที่ผู้คนบนโลกออกมาสู้รบกันจนเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินกันรวมถึงระบบเศรษกิจของทั้งสองฝ่ายนั้นก็เพราะความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างกันเท่านั้นเองข้อที่2 ใครมีเทคโนโลยีเท่ากับมีอำนาจ จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของเราจะเห็นได้ว่ากลุ่มคนหรือประเทศที่มีอำนาจมีการเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดช่วง1000ปีโดยปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้กลุ่มคนหรือประเทศนั้นๆมีอำนาจไม่ใช่มาจากจำนวนผู้คนหรืออายุของอารยะธรรมแต่เป็นเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ประเทศเหล่านี้ได้คิดขึ้นและนำมันมาใช้ประโยชน์ตัวย่างเช่นประเทศที่มีอารยะธรรมนับพันๆปีและมีประชากรจำนวนมากที่สุดในโลกอย่างจีนแต่กลับโดนประเทศที่พึ่งจะเกิดมาไม่กี่ร้อยปีอย่างประเทศเนเธอร์แลนด์รุกรานและครอบงำระบบเศรษกิจเนื่องจากประเทศเนเธอร์แลนด์ในตอนนั้นมีเทคโนโลยีในด้านอาวุธยุทธโธปกรณ์อย่างเช่นปืนไฟและเรือกลที่ดีกว่าประเทศจีนเป็นต้นข้อที่3 ความคิดที่มนุษย์ไม่เคยจะเปลี่ยนแปลงเลยหรือเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดนั้นก็คือความโลภหากเราย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเราจะพบว่ามีเหตุการณ์ที่สำคัญๆจำนวนมากที่ก่อเกิดจากเพียวความคิดที่อยากได้อยากมีที่ไม่สิ้นสุดของเราเองนั้นก็คือความโลภอาทิเช่นการล่มสลายของจักวรรดิโรมันนั้นเกิดมาจากความโลภของชนชั้นขุนนางที่ต้องการเก็บและสะสมที่ดินไว้เป็นของตัวเองจนทำให้ประชาชนไม่มีแม้แต่พื้นที่จะทำมาหากินและท้ายที่สุดก็เกิดการลุกฮือขึ้นมาต่อต้านของประชาชนจนในที่สุดระบอบจักวรรดิโรมันนั้นล่มสลายไปในที่สุดหรือเหตุการณ์ฟองสบู่แตกครั้งแรกของมนุษยชาติ(ฟองสบู่ดอกทิวลิป)ที่เกิดจากความโลภของคนที่ให้มูลค่าของวัตถุหรือสิ่งของเกินความเป็นจริงเพื่อหวังประโยชน์จากมูลค่าที่สูงขึ้นนั้นเองและพอถึงสุดสูงสุดเมื่อผู้คนเริ่มลดความเชื่อด้านมูลค่าของสิ่งนั้นอย่างฉับพลันซึ่งส่งผลต่อระบบเศรษกิจในเวลานั้นอย่างมาก สุดท้ายนี้ผมขอฝากหนังสือเศรษฐกิจโลก 1,000 ปี ให้ผู้ที่สนใจในเรื่องเศรษฐกิจและการลงทุนอ่านกันนะครับถึงแม้ว่าเนื้อหาจะเป็นเพียงประวัติศาสตร์ไม่ใช่หลักการหรือเคล็ดลับอะไรในการทำธุรกิจแต่หากเราต้องการที่จะทำธุรกิจหรือกิจกรรมอะไรให้สำเร็จในช่วงสภาวะเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันกันอย่างหนักหน่วงขนาดนี้ดังนั้นเราจำเป็นต้องมีความเข้าใจเศรษฐกิจและความเป็นมาของมันซึ่งหนังสือเล่นนี้ตอบโจทย์คุณได้มาเรียนรู้ วิชาภาษาเศรษฐกิจโลก ผ่านหนังสือเล่มนี้กันครับ คลิกเลย !!!เครดิตรูปทั้งหมดรูปหน้าปก (รูปภาพโดยผู้เขียน )รูปที่ 1 ( รูปภาพโดยผู้เขียน )รูปที 2 (รูปภาพโดย freepik )รูปที่ 3 (รูปภาพโดย.freepik )รูปที่ 4 (รูปภาพโดย freepik )รูปที่ 5 (รูปภาพโดย freepik ) รูปที่ 6 (รูปภาพโดย freepik )