" ฉันจะต้องไปดูหนังเรื่องนี้! " นั้นคือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นทันที่หลังจากที่ดิฉันได้ชมภาพยนตร์ตัวอย่างเรื่อง Onward คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์ ในโรงภาพยนตร์ ดิฉันเป็นแฟนตัวยงของหนังแอนิเมชัน มาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเลยค่ะ ในยุคที่ต้องดูภาพยนตร์จากเทปบันทึก VHS ดิฉันมีภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง Bambie จาก Disney เป็นกรณีศึกษาสำหรับการฝึกวาดภาพระบายสีของตัวเอง (พร้อม ๆ กับร้องไห้ไปด้วยทุกครั้งที่ดู Bambie ฮ่าฮ่าฮ่า) แน่นอนว่าดิฉันเป็นแฟนของ Pixar อย่างเหนียวแน่น ชนิดที่ว่าไม่เคยพลาดภาพยนตร์ของ Pixar และ Disney เลยแม้แต่เรื่องเดียว! ดิฉันชอบดูหนังมาก จนกระทั่งคุณบิดาของดิฉันแนะนำให้ไปทำงานโรงหนังเถอะลูก... จะได้ดูหนังฟรี... ฮ่าฮ่าฮ่า Onward คู่ซ่าล่ามนต์มหัศจรรย์ กล่าวถึงเรื่องราวของดินแดนเทพนิยาย ที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเวทมนต์แสนมหัศจรรย์ แต่วันเวลาที่น่าตื่นตาตื่นใจนั้น ค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี เวทมนต์เหล่านั้นจึงได้เสื่อมสลาย จางหายไปตามกาลเวลา เหล่าประชากรชาวเมืองเวทมนต์ ต่างหลงลืมความอัศจรรย์เหล่านั้นไปจนหมดสิ้นแต่ทว่า ในวันเกิดปีที่ 16 ของเอลฟ์หนุ่มเอียน ไลท์ฟุต ซึ่งเป็นปีที่เขาได้รับของขวัญพิเศษจากพ่อผู้ล่วงลับ ที่เตรียมไว้ให้เขาและพี่ชายซึ่งของขวัญนั้นคือไม้กายสิทธิ์และมณี ที่สามารถฟื้นคืนชีพพ่อผู้เป็นที่รัก เพื่อให้เขาสามารถใช้เวลาแสนสั้นอันมีค่ากับลูกชายทั้งสองของเขาได้ 24 ชั่วโมงแต่เรื่องราวกลับต้องยุ่งเหยิง เมื่อเขาสามารถนำพ่อกลับมาได้เพียงครึ่งเดียว! แถมยังเป็นครึ่งล่างเสียอีก! สองพี่น้องจึงต้องออกเดินทางผจญภัย เพื่อหาหนทางนำพ่ออีกครึ่งกลับมาให้ครบ เพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นหน้าเห็นตากัน และใช้เวลาที่เหลือร่วมกัน ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน! ตั้งแต่ดู Trailer ดิฉันก็ทำใจไว้เรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ ว่าต้องได้ร้องไห้ขี้มูกโป่งในโรงหนังแน่ ๆ ไม่มีภาพยนตร์เรื่องไหนเลยของ Pixar ที่ดิฉันไม่เสียงน้ำตาในโรง แต่เนื่องจากครั้งนี้ไปดูหนังกับเพื่อน และเป็นช่วงที่ไวรัส COVID-19 กำลังระบาด ดิฉันและเพื่อนจึงได้สวมหน้ากากเข้าโรงหนัง ฉะนั้นหากต้องเสียน้ำตา ดิฉันก็มั่นใจว่า หน้ากากอนามัยจะสามารถทำหน้าที่ปกปิดร่องรอยเส้นทางของน้ำตา ที่ไหลพรากอาบสองแก้มได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่ ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า ดิฉันและเพื่อนไปชมภาพยนตร์ Onward รอบ Soundtrack ซึ่งเป็นรอบดึกที่สุดและเป็นวันพฤหัสบดี จึงมีผู้ชมทั้งโรงเพียงแค่ 8 คนเท่านั้นค่ะ ถึงแม้จะมีผู้ชมเพียงแค่หยิบมือ แต่เสียงหัวเราะและเสียงแห่งความตื่นเต้นนั้นดังไม่เบาเลยนะคะ (โดนเฉพาะเสียงของเพื่อนดิฉันเองค่ะ) ตลอดทั้งเรื่องเต็มไปด้วยมุขตลกน่ารัก ๆ ที่จะทำให้คุณต้องอมยิ้ม ไปจนถึงหลุดหัวเราะสุดเสียง ชนิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ค่ะ เพื่อนสาวของดิฉันเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่คิดจะดูการ์ตูนแอนิเมชันใด ๆ เพราะไม่คิดว่าการ์ตูนพวกนี้ผู้ใหญ่ดูแล้วจะสนุก แต่เธอชื่นชมไม่หยุดเลยค่ะว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้ดีมาก ๆ และชอบมาก ๆ อยากให้ลูกได้ดู (ทั้งที่ยังไม่มีทั้งลูกและสามี ฮ่าฮ่าฮ่า) Onward เป็นภาพยนตร์ที่รู้ว่าต้องดีตั้งแต่ก่อนจะไปดู มีความสุขในขณะที่นั่งอยู่ในโรงหนัง และเมื่อดูจบอบอุ่นหัวใจ นึกถึงเมื่อไรก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า ดิฉันขอแนะนำจริง ๆ ค่ะ ว่าเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัวจริง ๆ มีฉากซึ้ง ๆ กินใจ ให้น้ำตาซึม มีฉากตื่นเต้นทรมานใจ ครบถ้วนทุกรสชาติ ไม่มีช่วงเวลาแห่งความเอื่อยเฉื่อย หรือ ฉากที่สามารถลุกไปเข้าห้องน้ำได้เลยค่ะคุณ (ฮือ...)ดิฉันของบอกว่าเพลงประกอบภาพยนตร์ ที่ปูทางมาตั้งแต่เริ่มเปิดฉาก ก็เร้าความสนใจของผู้ชมอย่างดิฉันแล้วค่ะ ทำให้ดิฉันถึงกับลังเลสงสัย ว่าเรื่องราวจะไม่จบอย่างที่ดิฉันคาดเดารึเปล่า ดนตรีและเพลงประกอบ ที่ถูกจัดวางมาตลอดความยาวของภาพยนตร์นั้นลงตัวเหมาะสมจริง ๆ ค่ะ ไม่ใช่แค่ดี แต่มีความเป็นสากลเข้ากับกลุ่มผู้ชมทุกเพศทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ชนิดที่ผู้ปกครองไม่ต้องเอามืออุดหูเด็ก ๆ และผู้สูงวัยไม่รู้สึกอึดอัดขัดใจแน่ ๆ ค่ะอีกสิ่งหนึ่งที่ดิฉันเสียดาย คือ อยากชมภาพบยนตร์เรื่องงนี้ในระบบ 3 มิติค่ะคุณ เพราะฉากแต่ละฉากสวยงาม บรรเจิดเหลือแสน หายใจเข้าแต่ละครั้ง ได้กลิ่นเมืองเวทมนต์ขนาดนั้นเลยล่ะค่ะ โอ้ย... คุณพระคุณเจ้า... ได้แต่จินตนาการว่าถ้านั่งดูแบบ 3 มิติ จะมีความสุขแค่ไหน คงกลับบ้านสวดมนต์ไหว้พระ นอนหลับฝันดี ได้ขี่ม้ายูนิคอร์นบนสะพานสายรุ้งแน่ ๆ ความสวยงามของภาพ เอาไปเลยเต็ม 10 ให้ 100 ค่ะแม้การผจญภัยของสองพี่น้องเพื่อพาพ่อกลับมาอย่างสมบูรณ์ จะเป็นแกนหลักในการเดินเรื่อง แต่ดิฉันคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ สะท้อนเรื่องราวหลาย ๆ อย่างในสังคมของเรา ออกมาได้อย่างแนบเนียนและน่ารักมากค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมสลายของมนต์เสน่ห์แห่งพลังเวท ที่เปรียบดังวัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษในแต่ละท้องถิ่น ที่มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ ควรค่าแก่การอนุรักษ์และสืบทอด แต่ค่อย ๆ ถูกกลืนหายไปพร้อมกับความสะดวกสบายและเทคโนโลยีต่าง ๆ แต่ในทุกพื้นที่ย่อมมีผู้ที่ยังเห็นความสำคัญของประวัติศาตร์ ความเป็นมาของตนเอง และสืบทอดความงดงามเหล่านั้นเอาไว้ ให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน เพื่อเป็นมรดกให้แก่ชนรุ่นหลัง นอกจากนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้ผู้ชมได้ตระหนักถึงความอบอุ่นในครอบครัว ว่าความอบอุ่นที่ตามหานั้น อาจจะอยู่กับเรามาโดยตลอด แต่เรากลับมองไม่เห็น ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ นอกจากนี้ยังมีประเด็นสำคัญ ที่สามารถสอนให้เราเรียนรู้ที่จะรักตัวเองอย่างถูกต้อง มองเห็นข้อด้อยของตัวเอง ยอมรับและพัฒนาตัวเอง และตั้งเป้าหมายที่จะเป็นตัวเองที่ดีกว่าเดิมในทุก ๆ ปี รวมถึงการให้เกียรติผู้อื่น เคารพในความแตกต่างของคนทุกคน เพราะคนเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความแตกต่าง ฉะนั้นเราย่อมคิด แสดงออก หรือชอบอะไรไม่เหมือนกันอย่างแน่นอนภาพยนตร์ของ Pixar ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยค่ะ แม้ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่สนุกสนาน ดูได้สบาย ๆ ทั้งครอบครัว แต่สามารถสอดแทรกรายละเอียดที่ลึกซึ้งเอาไว้ ได้อย่างละมุนละไมในทุกช่วงทุกขณะ เป็นภาพยนตร์ที่ดิฉันเต็มใจให้ 10 คะแนน รับรองว่าไปดูกับเพื่อนก็ได้หัวเราะ ป๊อปคอร์นกระจายกันไปตลอดทั้งเรื่อง ไปดูกับคนรักก็ได้กุมมือหัวเราะไปด้วยกัน ไปดูกับลูกก็ได้หัวเราะเสียงดังกันทั้งครอบครัวค่ะ*ขอขอบพระคุณภาพโปรโมทภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ และภาพประกอบบทความจาก Official Trailer Pixar Animation Studio และ Disney ประเทศไทย