Good Doctor TV Series (2018)หากพูดถึงซีรีส์การแพทย์ระดับตำนานของเกาหลี หนึ่งในนั้นคงต้องมี Good Doctor (2013) ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายทั้งในและต่างประเทศ มีรีเมคออกมาทั้งในฉบับอเมริการวมทั้งรีเมคในฉบับซีรีส์ญี่ปุ่นเรื่องนี้ ที่แม้จะทำออกมาสั้นกว่าต้นฉบับถึง 10 ตอน (ฉบับเกาหลีมี 20 ตอน) แต่ก็ยังสามารถเก็บและสื่อสารใจความสำคัญ ออกมาได้อย่างดีงามและครบถ้วนเหมือนต้นฉบับระหว่างการประชุมบอร์ดบริหารโรงพยาบาลโทโกเมมโมเรียล ที่ประชุมกำลังตึงเครียดเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของโรงพยาบาล รวมทั้งต้องการปรับโครงสร้างและยุบแผนกที่ไม่ทำกำไร หนึ่งในนั้นก็คือ แผนกกุมารศัลยแพทย์ ที่ใช้จำนวนบุคลากรมากมาย แต่กลับขาดทุนในทุกปี แม้ที่ประชุมจะอยากเห็นแผนกนี้ถูกยุบ แต่ว่าผอ.โรงพยาบาลอย่าง อากิระ ชิกะ (Akira Emoto) กลับพยายามปกป้องอย่างสุดกำลัง รวมทั้งเขายังจัดการรับแพทย์ประจำบ้านคนใหม่อย่าง มินาโตะ ชินโด (Kento Yamazaki) เข้ามาแบ่งเบาภาระของหมอคนอื่นอีกด้วยเพียงแต่เรื่องนี้ติดอยู่ตรงที่ว่า แม้ หมอชินโด นั้นจะเก่งมีความสามารถมากแค่ไหน แต่เขาก็เป็นออทิสติก แล้วการต้องทำงานร่วมกับคนอื่น รวมทั้งการดูแลคนไขที่เป็นเด็กนั้น เขาจะสามารถควบคุมตัวเองได้อย่างไร ผอ.ชิกะ จึงเสนอให้ทดลองงานเป็นเวลา 6 เดือน ถ้าหากหมอชินโด สร้างปัญหาล่ะก็เขาจะเป็นคนรับผิดชอบด้วยตัวเอง ซึ่งการออกตัวรับแทนของ ผอ.ชิกะ มันไปเข้าทางใครบางคน ที่อยากจะเปลี่ยนแปลงโรงพยาบาลแห่งนี้เข้า หมอชินโด จึงกำลังจะกลายเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมาย แล้วเขาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะเอาตัวรอดไปจากสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไรซีรีส์ญี่ปุ่นที่รีเมคซีรีส์เกาหลีในชื่อเดียวกันเมื่อปี 2013 ส่วนตัวผมเคยดูต้นฉบับแบบผ่าน ๆ สมัยช่อง 7 เอามาออกอากาศแต่ได้ดูไม่ครบทุกตอน เลยขอไม่กล่าวถึงต้นฉบับมาอ้างอิงเปรียบเทียบก็แล้วกัน คงกล่าวถึงรายละเอียดได้เฉพาะฉบับญี่ปุ่นนี้ล้วน ๆหลังจากที่ผมดูจบแล้วพอจะกล่าวได้ว่าซีรีส์การแพทย์เรื่องนี้ ไม่เพียงกล่าวถึงการรักษาพยาบาลผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเยียวยาจิตใจของญาติพี่น้องและคนที่รักพวกเขาอีกด้วย ลองยกเรื่องของการรักษาพยาบาลในชีวิตจริงของคนเรามาก็ได้ ปัญหาอย่างหนึ่งที่พบได้บ่อยเลยก็คือ ความไม่เข้าใจกันระหว่างบุคลากรทางการแพทย์กับญาติของผู้ป่วย เมื่อต่างฝ่ายต่างมีความทุกข์ ความเครียด ความกดดัน ในมุมที่แตกต่างกันในมุมของบุคลากรทางการแพทย์ที่ซีรีส์เรื่องนี้ชี้ให้เห็นชัด ๆ ก็คือความกลัวที่จะผิดพลาด เมื่อความสำคัญคือการรักษาชีวิตคนไข้ แต่ด้านหนึ่งหมอก็ต้องรักษาชีวิตและอนาคตของตนเองด้วย เมื่อความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจจะทำลายอาชีพได้เลย พวกเขาจึงต้องทำอะไรอย่างระมัดระวังตัวอย่างที่สุด แม้จะอยากเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือคนไข้มากแค่ไหนก็ตาม และที่สำคัญคงไม่มีหมอคนไหนอยากให้คนไข้จบชีวิตหรอกส่วนในมุมของญาติหรือคนรักของผู้ป่วย เรียกว่าแตกแขนงออกไปหลายมุมมองมาก อย่างเช่น ความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนที่รัก ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับเรื่องของหมอด้านบน แน่นอนว่าหมอไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะยื้อชีวิตคนได้ด้วยเวทย์มนต์ เมื่อการรักษาไม่เป็นผลแล้วคนไข้เสียชีวิต ญาติบางคนอาจจะตั้งสติได้แต่หลายคนอาจไม่ และด้วยความเสียใจก็เริ่มมองหาคนรับผิดชอบกับความสูญเสีย ที่จะให้พวกเขาได้กล่าวโทษเพื่อรู้สึกผิดหรือเศร้าน้อยลงหรือความไม่เข้าใจกันระหว่างคนป่วยและญาติ เมื่อมีคนป่วยก็ย่อมมีคนที่ต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้น ที่ต้องคอยสละเวลามาดูแล เมื่อเหนื่อยมากเข้า ก็เริ่มท้อและรู้สึกโทษคนป่วยอยู่ลึกๆในใจ รวมทั้งคนป่วยเองก็อาจซึมเศร้า เมื่อรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระถ่วงชีวิตคนที่รัก ทำให้เขาไม่สามารถไปมีความสุขหรือใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างเต็มที่ซึ่งประเด็นที่กล่าวมาด้านบนนั้นก่อนที่จะมีหมอชินโดเข้ามา ทุกคนในโรงพยาบาลโทโกเมมโมเรียล ยังไม่เข้าใจและแก้ไขกันไปตามสถานการณ์ แต่กลายเป็นว่าหมอที่เป็นออทิสติกอย่างเขา แม้อาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้คนได้ทั้งหมด แต่เขาก็รู้ว่าคนรักกันหรือคนในครอบครัว ต้องการอะไรหรืออยากมอบสิ่งไหนให้แก่กัน ซึ่งมันช่วยเยียวยาความรู้สึกของผู้ป่วยและญาติได้ แล้วผลดีที่ว่ามันก็ตกอยู่กับหมอเอง เมื่อสามารถทำความเข้าใจกับทั้งคนป่วยและญาติได้ การทำหน้าที่รักษาผู้ป่วยของหมอก็เลยง่ายมากขึ้นไม่แน่ใจว่าต้นฉบับเกาหลีนั้น มีพาทความโรแมนติกกุ๊กกิ๊กคู่พระนางเยอะไหม แต่สำหรับฉบับญี่ปุ่นนี้บอกได้เลยว่าน้อยเอามาก ๆ หมอชินโดและหมอนัตซึมิ (Juri Ueno) แทบไม่มีซีนหวาน ๆ เลย จะมีก็แต่ไอติมหวานเย็นที่ชอบซื้อให้กันเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่า ความสัมพันธ์ออกจะไปในทางมิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมงานเสียมากกว่า อาจจะมีบางฉากบางสถานการณ์เท่านั้นเอง ที่ทำให้ผู้ชมอย่างเราชวนจิ้นมโนต่อได้บ้างส่วนหนึ่งอาจจะเพราะซีรีส์ค่อนข้างสั้นเพียงแค่ 10 ตอนเท่านั้น เลยแทบไม่ได้ลงรายละเอียดความสัมพันธ์ของตัวละครมากนัก เมื่อทุกคนต่างวิ่งวุ่นแก้ปัญหาให้กับคนไข้และญาติ จนตัวเองก็แทบไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง แล้วจะมีเวลาที่ไหนว่าไปคิดเรื่องความรักกันเล่า ฮ่าฮ่าเป็นซีรีส์เรื่องหนึ่งที่ดึงเข้าดราม่าเสียน้ำตาได้เกือบทุกตอน แต่ถึงผมจะบอกว่าดราม่าเสียน้ำตาเยอะ กระนั้นเมื่อถึงบทสรุปของดราม่ามันกลับเป็นความรู้สึกตื้นตันใจมากกว่า ที่ได้เห็นผู้คนเข้าใจและมอบสิ่งที่ดีให้แก่กัน เรียกว่าเป็นซีรีส์การแพทย์ Feel Good ที่ทั้งสนุกในแง่ความบันเทิง สถานการณ์ฉุกเฉินและหากคุณเป็นผู้ป่วยหรือญาติ ก็จะได้มุมมองทัศนคติดี ๆ เข้าใจความลำบากบทบาทการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์มากขึ้น รวมทั้งหากคนที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ได้ดู ก็คงจะได้บทสรุปเหมือนกับชื่อซีรีส์เรื่องนี้นั่นแหละว่า Good Doctor นั้นเป็นเช่นไรสรุปแล้ว Good Doctor TV Series (2018) เป็นซีรีส์การแพทย์ที่สนุกเรื่องหนึ่งเลยนะ บันเทิงทั้งในแง่ความตื่นเต้นวิกฤติการรักษาฉุกเฉิน รวมทั้งได้แง่มุมแง่คิดดี ๆ เกี่ยวกับการดูแลสภาพจิตใจของผู้ป่วย ญาติ รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์เองก็ด้วย ติดอยู่แค่ว่าพอซีรีส์สั้นแบบนี้เลยไม่ได้ลงลึกถึงรายละเอียดตัวละครมากเท่าไหร่ น่าจะเหมาะกับคนที่ชอบซีรีส์เนื้อหากระชับ ไม่ชอบดราม่าชวนหน่วงอะไรแบบนั้นDirector: Hiro Kanai, Hideyuki Aizawaขอบคุณเครดิตรูปภาพประกอบบทความจากซีรีส์ : Good Doctor TV Series (2018)ที่มา Official Twitter : ภาพหน้าปก/ ภาพที่หนึ่ง/ ภาพที่สอง/ ภาพที่สาม/ ภาพที่สี่สามารถรับชมได้ทาง : VIU Good Doctor TV Series (2018)เขียนโดย : Paotatazติดตามบทความอื่น ๆ ได้ทาง : ปีนรั้วดูหนัง