โครงการ "คนละครึ่ง" มีประโยชน์เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ให้เราได้ประหยัดเงินในการจับจ่ายใช้สอย กับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ โดยภาครัฐจะช่วยจ่าย 50% เราจ่ายเองอีก 50% แต่ก็ไม่เกินวันละ 150 บาท และได้วงเงินต่อคนไม่เกิน 3,000 บาท ส่วนวิธีจ่ายก็คือใช้ G-Wallet ในแอป "เป๋าตัง" ที่เครื่องมือถือของเรา สแกน QR Code กับแอป "ถุงเงิน" ของร้านค้า ซึ่งผมเองก็ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ และได้ลองไปใช้สิทธิ์มาแล้ว ทำให้เห็นว่าโครงการนี้ช่วยให้เราประหยัดเงินในการใช้จ่ายลงได้บ้าง ก็เลยจะมารีวิวตัวอย่างให้ชมกันครับ ร้านค้าที่ผมไปใช้บริการมานั้น อยู่ที่จังหวัดอุดรธานี มีชื่อว่า กูโรตีชาชักอุดร และ Woods and hoods by Farm D cafe อุดรธานี ซึ่งเป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งของร้านอาหารที่เข้าร่วมโครงการ "คนละครึ่ง" ครับ วันที่ 24 ตุลาคม 2563 เป็นวันที่ผมลงทะเบียน และไปใช้บริการ กูโรตีชาชักอุดร เป็นร้านโรตีและเครื่องดื่มชาชักที่มีบรรยากาศนั่งสบาย ๆ ผมสั่งไมโลชัก 45 บาท กับโรตีข้าวโพด 49 บาท เมื่อรวมเงินที่ต้องจ่ายจะเป็น 94 บาท (แต่เรากำลังจะจ่ายด้วยการสแกน "คนละครึ่ง") วิธีจ่าย อันดับแรกให้เติมเงินเข้า G-Wallet ในแอป "เป๋าตัง"ก่อน เช่น ผมจะต้องจ่าย 47 บาท (คิดจาก 94 หาร 2) เพราะอีก 47 บาทภาครัฐจะเป็นคนช่วยจ่าย ตามชื่อโครงการเลยครับ คือ คนละครึ่ง ด้วยความที่ผมเพิ่งลงทะเบียนวันนี้และยังไม่เคยสแกนจ่าย วงเงินต่อคนที่รัฐให้จึงยังเหลือ 3,000 บาท และวงเงินต่อวันที่ภาครัฐจะช่วยจ่ายก็ยังเหลือ 150 บาท ถ้าตอนนี้ผมจ่ายไป 47 บาท ภาครัฐก็จ่ายอีก 47 บาท วงเงินของวันนี้จะเหลือ 103 บาท ส่วนวงเงินทั้งหมดจะเหลือ 2,953 บาท แล้วถ้าสมมติวันนี้ผมไปกินข้าวผัดกับร้านอื่นที่เข้าโครงการนี้อีก ราคาจานละ 250 บาท (250/2=125 บาท) ผมจะต้องเติมเงินเพื่อจ่าย 147 บาท (ไม่ใช่ 125 บาทนะ) เพราะวงเงินที่รัฐจะช่วยจ่ายของวันนี้มันเหลือ 103 บาท ส่วนต่าง 22 บาทต้องจ่ายเอง (รัฐบอกว่า ฉันช่วยเธอจ่ายครึ่งหนึ่ง แต่ไม่เกินวันละ 150 บาท เธอใช้ไปแล้ว 47 บาทไง) ต่อมา... วันที่ 25 ตุลาคม 2563 วงเงินต่อวันก็กลับมาเป็น 150 บาท และมีวงเงินคงเหลือ 2,953 บาท (3,000-47 เมื่อวาน) ก็เกิดความรู้สึกอยากกินอาหารบุฟเฟ่ต์ จึงเลือกใช้บริการร้าน Woods and hoods เป็นร้านอาหารบุฟเฟ่ต์นานาชาติแบบพรีเมียมของอุดรธานี มีราคาต่อหัวสูงสุดอยู่ที่ 799 บาท ผมเลือกกินราคา 399 บาท เพราะแค่ราคานี้ก็มีเมนูให้เลือกกว่า 40 อย่าง ถ้าใครต้องการความคุ้มค่าแบบจุใจ ก็แนะนำเลือก 799 ไปเลยนะครับ เพราะว่ามีเมนูให้เลือกกว่า 100 อย่างซึ่งมันเยอะมากๆ เมื่อถึงเวลาจ่ายเงินก็ทำวิธีเดิม คือ เติมเงินเข้า G-Wallet ในแอป "เป๋าตัง" ก่อน ราคาบุฟเฟ่ต์ที่ผมต้องจ่าย คือ 399 หาร 2 เท่ากับ 199.5 บาท แต่วงเงินช่วยจ่ายต่อวันมีแค่ 150 บาท ส่วนต่าง 49.5 บาท เราต้องจ่ายเพิ่มเอง ก็จะเป็น 199.5+49.5 ผมต้องเติมเงิน 249 บาท (หรืออีกวิธีคิดง่าย ๆ ถ้าเราหารครึ่งแล้วมันเกิน 150 ก็เอายอดจ่ายเต็มลบ 150 ได้เลยครับ เช่น 399-150=249 บาท) พอผมสแกนจ่าย วงเงิน 150 บาทก็กลายเป็น 0 ดังนั้น วันนี้ผมก็จะใช้จ่ายด้วย "คนละครึ่ง" ไม่ได้อีก เพราะวงเงินต่อวันถูกใช้หมดแล้ว แต่ก็ดีต่อใจเพราะได้กินบุฟเฟ่ต์พรีเมียมในราคา 249 บาท^^ นอกจากนี้วงเงินคงเหลือ 2,953 ก็จะลบไปอีก 150 เหลือ 2,803 บาท เพราะเมื่อวานรัฐช่วยจ่ายไป 47 บาท วันนี้ช่วยจ่ายไปอีก 150 บาท ก็เท่ากับ (3,000-47-150=2,803 บาท) ครับ และมันก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ ตามการใช้จ่ายของเรา ก็สรุปภาพรวมได้ว่าโครงการ "คนละครึ่ง" ทำให้เราประหยัดเงินลงไปได้ส่วนหนึ่ง เมื่อจับจ่ายใช้สอยด้วยการสแกนจ่ายผ่านแอปกับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ แต่ขณะเดียวกันเรื่องเทคโนโลยีก็เป็นข้อจำกัดสำหรับคนที่ใช้งานสมาร์ทโฟนไม่เป็น ซึ่งอาจทำให้ไม่ได้รับประโยชน์กับโครงการนี้ สุดท้ายหวังว่าการรีวิวตัวอย่างของผม จะช่วยให้เพื่อน ๆ เข้าใจการใช้จ่ายด้วยแอป "เป๋าตัง" ในโครงการ "คนละครึ่ง" มากขึ้นนะครับ^^ ภาพประกอบโดย : นักเขียน บทความอื่นที่น่าสนใจ เจาะลึก รีวิวใช้สิทธิ์คนละครึ่ง แบบ Step by Step ใช้ง่าย ๆ แค่ทำตามขั้นตอนนี้ รีวิววิธีการลงทะเบียนคนละครึ่ง ฉบับเข้าใจง่ายใน 3 ขั้นตอน ชำแหละความน่าสนใจของโครงการคนละครึ่ง รู้ก่อนรับ 3,000 บาท คนละครึ่ง - รวมที่กินสุดฮิต ที่เกี่ยวข้องกับ "คนละครึ่ง" คนละครึ่ง 10 ร้านบุฟเฟ่ต์ ในกรุงเทพ จ่ายครึ่งเดียว อิ่มได้ไม่อั้น !