สำหรับซีรีส์ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน แต่ในทางกลับกันกลับไต่ขึ้นลำดับ Netflix Thailand อย่างรวดเร็ว เรียกว่ากระแสตอบรับดีอย่างถล่มทลายมากจริง ๆ สำหรับซีรีส์เรื่อง Snowpierce แถมยังเก็บดีเทลเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อแสดงถึงความละเมียดละไมของซีรีส์ อย่างในโปสเตอร์ที่เผยแพร่ในเวอร์ชั่นประเทศต่าง ๆ สำหรับแฟน Netflix ไทย คงรู้สึกตื่นเต้นกับซีรีส์เรื่องนี้พอสมควร เพราะตัวซีรีส์เคยทำเป็นภาพยนตร์มาก่อนนั่นเองคุณสังเกตเห็นโปสเตอร์ หรือไม่?ถ้าคุณสังเกตที่ตัวโปสเตอร์ดี ๆ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวโลเคชั่นที่นอกหน้าต่างขบวนรถไฟ และคุณจะสังเกตเห็นตึกมหานครสัญลักษณ์ของประเทศไทย มันคือสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าซีรีส์เรื่องนี้ฉายอยู่ในประเทศไหนบ้าง เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปท์ของซีรีส์ที่รถไฟวิ่งตลอดเวลานั่นเอง ถือเป็นจุดสังเกตเล็ก ๆ ที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกันโดยเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่เพียงซีรีส์ที่น่าจับตาเฉพาะเนื้อเรื่อง แต่ที่น่าจับตาอีกหนึ่งอย่างก็ คือ บองจุนโฮ เขาคือผู้กำกับมือหนึ่งชาวเกาหลี ผู้ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวเกาหลี และชาวเอเชีย จากภาพยนตร์ชั้นเยี่ยมอย่าง Parasite โดยครั้งนี้เขาได้นั่งในตำแหน่ง Executive Producerสำหรับเรื่องราวของซีรีส์มันแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อโลกหยุดชะงักลง ในดินแดนที่แห้งแล้งและมนุษยชาติกลุ่มสุดท้ายที่ยังมีชีวิตรอดบนโลก ถูกแบ่งอยู่ระหว่างขบวนรถไฟตามชนชั้น เรียกรถไฟขบวนนี้ว่า Snow Country Trainโดยเรื่องราวจะกล่าวถึง เมลานีผู้โดยสารชั้นหนึ่ง เธอ คือ ผู้จัดการรถไฟขบวนนี้ ที่ต้องดูแลผู้คนในขบวนรถไฟทั้งหมด และควบคุมระเบียบต่าง ๆ คุณสามารถเห็นคนสองกลุ่มที่คุณภาพชีวิตแตกต่างกันอย่างสินเชิง ที่ขบวนรถไฟแห่งนี้ และเรื่องราวการฆาตรกรรมอันเป็นปริศนา ที่รอคอยการสืบ และการหาข้อมูล ว่าอะไรเป็นสาเหตุการตายกันแน่ แล้วที่พีคสุดก็คือมีนักสืบคนเดียวอยู่บนรถไฟขบวนนี้ แต่เขาเป็นคนชนชั้นล่าง จึงทำให้เกิดการร่วมมือระหว่างคนจากสองชนชั้น เพื่อช่วยกันสืบหาคดี เรื่องราวน่าติดตามมาก ๆ เลย เส้นเรื่องในซีรีส์ถูกเปลี่ยนไป จากภาพยนตร์ที่โฟกัสไปที่ความเหลื่อมล้ำ แต่สำหรับ Version ซีรีส์กลับให้น้ำหนักไปที่การสืบสวน สอบสวนมากกว่าผู้คนกลุ่มสุดท้ายที่รอดชีวิตอาศัยอยู่ใน 'Snow Country Train' มนุษยชาติใช้ชีวิตที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในขบวนรถไฟแห่งนี้ การปฏิบัติ ระหว่างคนรวยและคนจน ถือเป็นความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชนชั้น แม้คนจนจะมีความสามารมากมาย และคนรวยพวกนั้นจะเป็นคนที่ไร้ความสามารถแค่ไหน แต่บนขบวนรถไฟแห่งนี้ ก็ยังดูแลคนที่ไร้ความสามารถอย่างดี ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายของมนุษยชาติอย่างมาก ที่คนกลุ่มสุดท้ายมีแต่คนรวยที่เห็นแก่ตัวและก่อปัญหามากมายสิ่งที่เกิดขึ้นในรถไฟขบวนนี้ เต็มไปด้วยความ 'ไม่ยุติธรรม' และ 'ไม่ถูกต้อง'ดังจะเห็นได้จากความแตกต่างระหว่างคนสองระดับ ที่ได้รับการปฏิบัติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนดูจะสัมผัสได้ถึงความตึงเครียดของรถไฟขบวนนี้ ที่จะเกิดความรุนแรงมากขึ้นในทุก ๆ EP บวกกับการฆาตรกรรมและการตามสืบคดีเหล่านี้ ทุกคนคงจะต้องลุ้นไปกับทุก ๆ ตัวละครตลอดเวลาอย่างแน่นอนในมุมมองโลกของ 'Snowpiercer' จากลักษณะการกำกับของ บองจุนโฮ (แต่เรื่องนี้เขาไม่ได้นั่งแท่นกำกับเอง แต่คุมภาพและมีส่วนร่วมในการคิดเนื้อเรื่อง โดยเขาได้รับหน้าที่เป็น Executive Producer) อาจกล่าวได้ว่า ความขัดแย้งตามลำดับชั้นทางสังคม และฐานะทางด้านการเงิน เป็นความขัดแย้งที่ลงรากฐานลึก หาทางแก้ไขยากที่สุด ระหว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความขัดแย้ง และวิถีชีวิตที่แตกต่าง ของความจนและร่ำรวย ถือเป็นเรื่องถนัดสำหรับผู้กำกับมากฝีมือคนนี้ จึงทำให้ผู้คนมากมายเฝ้าติดตามซีรีส์เรื่องนี้อย่างใจจดจ่อแทบทุก EPรถไฟขบวนนี้กับผู้คนกลุ่มสุดท้าย มีความยาวของขบวนรถไฟทั้งหมด 1,001 ตู้ กับการเดินทางด้วยความเร็ว 19 km/h พวกเขาคือคนกลุ่มสุดท้ายบนโลกแห่งนี้การปฏิวัติเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง!'Snowpiercer' ความลับที่น่าตกใจของรถไฟขบวนนี้ ที่เราไม่เคยล่วงรู้ ซีรีส์ของ Netflix เวอร์ชั่น 'Snowpiercer' ได้รับการปล่อยออกอากาศในไทย ในวันที่ 25 ซีซัน 1 ตอน 1 และ 2 ได้รับการเผยแพร่พร้อมกระแสตอบรับที่ดีอย่างมาก และจะอัปเดตสัปดาห์ละครั้งสำหรับเรื่องนี้จะกล่าวถึงโลกที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง และอุณหภูมิติดลบถึง 80 องศา จึงเกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมเกิดความเย็นขนาดนั้น ท่ามกลางปัญหาโลกร้อน ?ซีรีส์เรื่องนี้อธิบายว่า CW-7 ซึ่งเป็นสารที่เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถูกฉีดพ่น สู่ชั้นบรรยากาศเนื่องจากภาวะโลกร้อน แต่มันอาจจะมากเกินไป หรือเกิดปฎิกริยาที่ผิดปกติอะไรบางอย่าง จึงทำให้จากสภาวะโลกร้อนกลับกลายเป็นน้ำแข็งไปได้ซีรีส์เรื่องนี้ยังเปลี่ยนเรื่องราวเริ่มต้น มีการกล่าวกันว่าภาวะโลกร้อนส่งผลกระทบต่อโลกอย่างมาก แต่ได้มีการกล่าวกันว่ามีการพ่นสารที่ทำให้ชั้นบรรยากาศเย็นลงเพื่อเปลี่ยนแปลง แต่การเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้นไม่ได้ทำให้โลกกลับมาสมดุลดั้งเดิม แต่กลับสร้างสิ่งที่น่ากลัวกว่าภาวะโลกร้อน ก็คือ อุณหภูมิติดลบมากถึง 80 องศาเรื่องราวเริ่มต้นในซีรีส์กับภาพยนตร์แตกต่างกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เพราะสิ่งสำคัญกว่าที่จะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในรถไฟขบวนนี้สำคัญกว่ามาก จะเห็นได้ว่าภัยคุกคามธรรมชาติกำลังจะเกิดขึ้น และผู้รอดชีวิตกลุ่มสุดท้ายที่มีชีวิตที่แตกต่างกันสุดขั้ว แถมยังมีการฆาตรกกรมเกิดขึ้นจากกลุ่มคนรวยด้วยกันเอง การเดินทางในครั้งนี้จะเต็มไปด้วยคราบเลือดและรอยน้ำตา ในซีรีส์เรื่องนี้ประเด็นที่กล่าวถึงจะเป็นเรื่องของการฆาตรกรรมมากกว่าความเลื่อมล้ำเล็กน้อย ถ้าใครที่เป็นแฟนซีรีส์แนวสืบสวน สอบสวน ไม่ควรพลาดซีรีส์เรื่องนี้เลยแม้แต่ตอนเดียว สามารถรับชมได้ที่ : Netflix ภาพหน้าปก โดย JJPROJECT / ภาพที่ 1 โดย JJPROJECT / ภาพที่ 2 โดย Netflix / ภาพที่ 3 โดย Netflix / ภาพที่ 4 โดย Netflix / ภาพที่ 5 โดย Netflix