徐福 เป็นตัวอักษรภาษาจีน ที่เคยใช้ในภาษาเกาหลีที่เรียกว่าอักษรฮันจามาก่อน และ 徐福 เป็นชื่อของ ฉวูฟู๋ นักเล่นแร่แปรธาตุและนักเดินทางชาวจีนในรัชสมัยของ จิ๋นซีฮ่องเต้ ที่เป็นผู้รับบัญชจากจิ๋นซีฮ่องเต้ในการออกตามหาน้ำอมฤต หรือน้ำแห่งชีวิตนิรันดร์ โดยฉวูฟู๋ได้ออกเดินทางไปตามหายังเกาะญี่ปุ่นพร้อมกับปราชญ์ บัณฑิตและคนหนุ่มสาวจำนวนมาก แล้วฉวูฟู๋ก็ไม่ได้กลับมายังจีนอีกเลย จนทำให้จิ๋นซีฮ่องเต้โมโหมาก ถึงกับเผาตำรา สังหารบัณฑิตเพื่อบันดาลโทสะที่ไม่สามารถคว้าน้ำอมฤต เพื่อสนองให้ตัวเองเป็นอมตะได้ และหันไปบัญชาให้สร้างสุสานใหญ่โตเพื่อรองรับชีวิตหลังความตายของเขา ซึ่งก็คือสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่มีรูปปั้นดินเผาทหารม้าในปัจจุบัน และในจุดนี้ก็มีการสันนิษฐานกันว่าบรรพบุรุษของคนญี่ปุ่น ก็มาจากเมืองจีนและอาจจะเป็นกลุ่มของฉวูฟู๋ซึ่งคล้ายจะบอกว่า การไขว่คว้าหาชีวิตนิรันดร์บนโลกนี้ ก็จะส่งผลให้เกิดวิกฤติความฉิบหายแก่โลกใบนี้ ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าน้ำอมฤตมีจริงหรือไม่ อีกทั้งในประวัติศาสตร์ก็สันนิษฐานให้ชวนคิดว่า ฉวูฟู๋อาจจะค้นพบน้ำอมฤตแล้ว แต่เขาก็เลือกที่จะไม่นำออกมาสู่โลกภายนอก เพื่อไม่ให้ใครสามารถเอาชนะธรรมชาติได้ และชื่อของ ฉวูฟู๋ ในภาษาจีนนั้น ก็อ่านในภาษาเกาหลีได้เป็น ซอบก (Seobok)Seo Bok ซอบก เล่าถึงเรื่องของ มิน กีฮอน อดีตสายลับ ผู้ที่ชีวิตล้มเหลว ต้องมารับหน้าที่คุ้มครองบุคคลคนหนึ่งแบบจับพลัดจับผลู โดยบุคคลนั้นเป็น "มนุษย์โคลนนิ่ง" นาม ซอบก สายพันธุ์พิเศษที่เป็นกุญแจไขความลับระดับมนุษยชาติ และด้วยเหตุนี้ ภารกิจคุ้มครองส่งตัวของเขา จึงเป็นเรื่องสำคัญ แต่สถานการณ์ก็เกิดตูมตามมากมาย จนทำให้กีฮอนและซอบกต้องผจญภัยร่วมกันถือเป็นการประกาศให้โลกได้รู้ว่าเกาหลีใต้ ที่มีการพัฒนาภาพยนตร์เข้าขั้นสูงแล้ว ก็ยังได้พัฒนาบทบาทและเทคนิคใหม่ ๆ ออกมาให้คอภาพยนตร์ได้ตื่นตาตื่นใจ ซึ่ง Seo Bok ก็ทำได้ดี แต่น่าเสียดายที่มีบางสิ่งบางอย่างที่น่าจะช่วยให้สมบูรณ์กว่านี้ และด้วยเนื้อหา ถือเป็นการผสมผสานเนื้อหาไซไฟที่ไม่ได้แปลกใหม่มากนัก แต่ในจุดนี้ ทางผู้สร้างก็ได้นำรายละเอียดอื่น ๆ แทรกเข้ามา จนทำให้รู้สึกว่าความเป็นไซไฟของเรื่อง เป็นอะไรที่สัมผัสได้ แม้จะเหนือโลกไปบ้าง แต่เนื้อเรื่องก็สามารถดึงผู้ชมให้หลุดเข้าไปในมิติของเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว และกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็คือจบเรื่องพอดีแต่จุดโดดเด่นของเรื่อง ไม่ใช่ฉาคแอคชั่นตูมตาม หรือความหล่อเท่ของสามีแห่งชาติอย่าง กงยู หรือฝีมือการแสดงของ พัค โบกอม กลับเป็นข้อคิดและปรัชญาที่แทรกอยู่ในเนื้อเรื่องและบทพูด ที่ปรากฎอยู่ตลอดเรื่อง และด้วยการกำกับของ อียองจู ที่เคยมีประสบการณ์เขียนบทมาหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องดังอย่าง Memories of Murder ก็ช่วยให้บทของเขาแข็งแกร่ง มีพลังที่ได้ชมการสนทนาของตัวละครแล้ว ก็ทำให้ได้คิดตาม โดยเฉพาะเรื่องของการมีชีวิตอยู่ ความหมายของชีวิต การสิ้นชีพอันแสนสงบ รวมถึงเรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่พยายามจะสื่อว่า ไม่มีใครสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ แม้จะมีเทคโนโลยีที่เลอเลิศก็ตามนอกเหนือจากปรัชญาชีวิตแล้ว ดราม่าของตัวละครก็เป็นอีกจุดที่โดดเด่น ในเรื่องของความดี ความชั่ว ที่เป็นสิ่งที่เรารู้และเห็นกันอยู่อย่างชัดแจ้ง แต่คนบางกลุ่ม ก็เลือกความชั่วร้าย มากกว่าความดี ทั้งที่สามารถเลือกได้ และในส่วนของดราม่านี้เอง ก็ลงล็อคกับนักแสดงสายดราม่าอย่าง กงยู มาก ๆ ทำให้บทบาทสายลับผู้เหลวแหลกสมจริงขึ้นมา แต่จุดดีนี่เอง ก็ดันไปกลบบทแอคชั่นของเขาไป น่าเสียดายเล็กน้อย ที่ไม่ได้เห็นกงยูใส่เต็มกับบทบาทนี้ด้านขวัญใจติ่งอย่าง พัค โบกอม ที่ต้องเป็น ซอบก ตัวละครบทบาทหน้าเดียว อันเนื่องมาจากมนุษย์โคลนนิ่งที่ไม่เคยได้ออกสู่โลกภายนอก แต่ภายใต้ใบหน้านิ่งและไร้อารมณ์ กลับสัมผัสได้ถึงความเย็นชา จิตใจที่ยังไม่ได้หล่อหลอมจนเป็นเสมือนยืนอยู่จุดกึ่งกลางของความดีและความชั่ว แต่สิ่งที่โดดเด่นก็เป็นดราม่าตัวละครเช่นเดียวกับ มิน กีฮอน แต่เป็นตัวละครที่ชวนให้เราคิดว่าถ้ามีคนหนึ่งสามารถเป็นชีวิตนิรันดร์ให้ได้ คุณจะทำอะไรกับเขา?รวมถึงแง่คิดเรื่องความตาย ผ่านฉากหนึ่งของเรื่องที่ต้องไปสัมผัสด้วยตาตัวเองSeobok ถือเป็นภาพยนตร์ไซไฟที่ไม่ได้ขายแอคชั่นระห่ำ การต่อสู้ที่ดุเดือด แต่เป็นการนำเสนอปรัชญาชีวิตที่หากได้รับชมแล้ว ก็อาจจะตกผลึกในเรื่องของชีวิตมนุษย์ทั่วไป และช่วยให้เข้าใจในความหมายของคำว่า ชีวิต ว่าการมีชีวิตที่อมตะ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป ดังที่ฉวูฟู๋บอกว่าได้ค้นพบและไม่เคยนำมันออกมาให้โลกภายนอกได้รับรู้อีกเลยรูปภาพจาก CJ Entertainment