เมื่อกล่าวถึงภาพยนตร์ที่มีฉากหลังเป็นยุคสงคราม เราจะพบว่าสงครามนั้นมีมาทุกยุค ทุกสมัย จนสามารถนำเหตุการณ์ยิบย่อยในสงครามมาสร้างเป็นนวนิยาย ภาพยนตร์สารคดี หรือภาพยนตร์ที่อิงมาจากสงคราม ส่วนมากล้วนอิงมาจากชีวประวัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง สร้างเพื่อยกย่องบุคคลในสงครามหรือแม้แต่เหตุผลด้านความบันเทิง Bridge of Spies เองก็เป็นภาพยนตร์ที่เกิดจากเหตุการณ์จริงในยุคของสงครามเย็น แต่ภาพที่ให้กลับให้ข้อคิดมากกว่าคำว่า “สงคราม”(ภาพจาก audiobookstore.com ) ทำความรู้จักกับภาพยนตร์ Bridge of Spies Bridge of Spies สร้างมาจากนิยายเรื่อง Strangers on a Bridge: The Case of Colonel Abel and Francis Gary Powers. เขียนโดย เจมส์ บี โดโนแวน (James B. Donovan) ทนายความตัวเอกของเรื่อง เรียกได้ว่า เขาเขียนหนังสือชีวประวัติของเขาเองเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์นี้เลยทีเดียวในปี 1964 กำกับโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ฉายาพ่อมดแห่งฮอลีวูด และยังได้พี่น้องโคเอน (Coel) อย่าง อีธาน โคเอน (Ethan Coen) และ โจอี้ โคเอน (Joel Coen) รวมไปถึง แมตต์ ชาร์แมน (Matt Charman) มาร่วมเขียนบทด้วย โดยเริ่มสร้างในปี 2014นำแสดงโดยทอม แฮงค์ (Tom Hanks) นักแสดงนำในบทของเจมส์ บี โดโนแวน (James B. Donovan) มาร์ค ไรแลนซ์ (Mark Rylance) นักแสดงสมทบในบทบาทของสายลับโซเวียต รูดอล์ฟ เอเบล (Rudolf Abel) ฉายครั้งแรกวันที่ 4 ตุลาคม ปี 2015 ที่เทศกาลงานภาพยนตร์นิวยอร์ก (New York Film Festival) ฉายวันที่ 16 ตุลาคม 2015 ที่สหรัฐอเมริกา , 26 พฤศจิกายน 2015 ที่เยอรมัน ตามลำดับ ทั้งนี้ยังเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง ทอม แฮงค์ (Tom Hanks) นักแสดงคู่ขวัญของผู้กำกับมากฝีมือ โดยเขารับบทนำให้ผู้กำกับคนนี้มากถึง 5 เรื่อง ตั้งแต่ Saving Private Ryan (1998) , Catch Me If You Can (2002) , The Terminal (2004) , Bridge of Spies (2015) และเรื่องล่าสุดที่เพิ่งออกฉายเมื่อปี 2017 คือ The Post (2017)นอกจากนี้นักแสดงเก๋าฝีมืออีกคนอย่าง มาร์ค ไรแลนซ์ (Mark Rylance) ก็ยังเคยร่วมงานกับ Spielberg มาหลายครั้งเช่นกัน ตั้งแต่ Bridge of Spies (2015) , The BFG (2016) , และ Ready Player One (2018)กล่าวได้ว่า… ผู้กำกับฝีมือดี ฝีมือปัง เมื่อโคจรมาเจอกับนักแสดงที่ดีแล้ว ผลงานที่ออกมาย่อมประจักษ์แก่สายตาคนชม Bridge of Spies ความสวยงาม ท่ามกลางสงครามเย็นปี 1957 ในมหานครนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เป็นปีที่ตึงเครียดนับตั้งแต่เกิดสงครามเย็นขึ้นใน ค.ศ. 1945 รูดอล์ฟ เอเบล (Rudolf Abel) ถูกจับในข้อหาเป็นสายลับสอดแนมที่ถูกส่งมาจากสหภาพโซเวียต เจมส์ บี โดโนแวน (James B. Donovan) ผู้เป็นทนายประกันภัยจึงต้องมารับหน้าที่ในการว่าความแก้ต่างให้สายลับโซเวียตด้วยความไม่เต็มใจนัก เพราะภารกิจเช่นนี้ต่างก็ไม่มีทนายคนใดอยากทำเฉกเช่นกัน ศาลซึ่งโยนภาระอันหนักอึ้งให้เจมส์ยังได้กำชับมาอีกว่า “จำเลยสมควรได้รับการแก้ต่างอย่างยุติธรรม” เพื่อพิสูจน์ให้โลกได้ประจักษ์ว่าศาลของสหรัฐอเมริกาเป็นศาลที่ยุติธรรมแม้ในยามสงครามก็ตาม โดยความพยายามในการโน้มน้าวและวาทะการเจรจาอย่างมากของเจมส์ทำให้เอเบลสามารถรอดพ้นจากโทษประหารไปได้เหตุการณ์ที่ดำเนินต่อจากนั้นคือความเกลียดชังจากทุกคนในชาติที่ถาโถมมาใส่ครอบครัวของเจมส์เอง ในฐานะคนทรยศชาติที่ช่วยเหลือพวกโซเวียต โดยเฉพาะในยุคสงครามเช่นนี้แล้ว การถือตนว่า “ชาติใครชาติมัน” ใครคือมิตร ใครคือศัตรูสำคัญยิ่ง แต่แล้วชีวิตของเจมส์ก็ต้องผกผันอีกครั้งเมื่อนักบินสอดแนมของสหรัฐฯ ถูกยิงตกในเขตของโซเวียต ทางรัฐบาลจึงได้มอบหน้าที่สำคัญเขาอีก คือการแลกเปลี่ยนตัวประกันที่เยอรมันตะวันออก เพื่อป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลเจมส์ยังพยายามอย่างหนักในการแก้ต่างให้เอเบิล ข่าวของเขาถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ฉายให้เห็นถึงตอนที่เจมส์กำลังนั่งรถไฟ สายตาคนที่จ้องมาที่เขาล้วนมองด้วยสายตารังเกียจ ตราหน้าว่าเขาคือคนขายชาติ สายตาเหล่านั้นกำลังตั้งคำถามมาที่เจมส์ หากว่าผู้คนบนรถไฟคือภาพสะท้อนของคนอเมริกันที่มีแต่ความเกลียดชังให้แก่นักโทษ เอเบิล สายลับโซเวียตในเรื่องก็คือภาพสะท้อนของนักโทษผู้มีชะตากรรมน่าอดสูนั่นเอง(ภาพจาก : pixabay.com ) ภาพยนตร์ Bridge of spies ยังเสนอภาพให้เห็นถึงโรงเรียนในยุคของสงครามเย็น คุณครูพานักเรียนกล่าวคำปฏิญาณอันเป็นหัวใจหลักของอเมริกาก่อนเริ่มการเรียนการสอน คือสิทธิ เสรีภาพ และความยุติธรรม ต่อมาคือการเปิดวีดีทัศน์ให้เห็นถึงภัยคอมมิวนิสต์รวมไปถึงอาวุธนิวเคลียร์ เห็นได้ชัดว่ายุคสงครามเย็น คอมมิวนิสต์ถือเป็นภัยร้ายแรง“คุณยืนอยู่ตรงนั้นแบบนั้น ผมนึกถึงคนที่เคยมาบ้านเราสมัยผมยังเด็ก พ่อผมเคยบอกว่าดูเขาคนนี้ไว้ ผมก็ดูทุกครั้งที่เขามา แต่ก็ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะทำอะไรที่น่าทึ่ง มีครั้งหนึ่งผมอายุเท่าลูกชายคุณ บ้านเราถูกการ์ดของกลุ่มหัวรุนแรงบุก หลายสิบคนเลย พ่อผมถูกซ้อม แม่ผมถูกซ้อม และเพื่อนของพ่อผมคนนี้ถูกซ้อม และผมก็ดูเขา ทุกครั้งที่เขาถูกตี เขาก็ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พวกมันตีเขาแรงขึ้น และเขาก็กลับมายืนขึ้นได้อีก ผมว่าด้วยเหตุนี้พวกมันเลยหยุดตี ปล่อยเขาไป… Стойкий Мужик สต๊อยกีมูชิค จำได้พวกมันพูด คำนี้คล้ายๆจะหมายถึง ‘ชายผู้ยืนหยัด’ ชายผู้ยืนหยัด…”ประโยคอันน่าประทับใจที่เอเบิลกล่าวแก่เจมส์ในระหว่างรอการพิจารณาคดี ทั้งคู่ต่างก็ทราบผลดีว่าอย่างไรเสียเจมส์ก็อาจจะถูกตัดสินประหารชีวิต เป็นพลเมืองของโซเวียตโดนตราหน้ามากแค่ไหน คนที่มีสถานะเป็นสายลับโซเวียตยิ่งโดนมากกว่าหลายเท่า ศีลธรรมในภาวะสงครามเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก หมายรวมไปถึงกระบวนการยุติธรรมด้วยชายผู้ยืนหยัด… ยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง ยืนหยัดเพื่อคุณธรรม ยืนหยัดเพื่อศีลธรรม ยืนหยัดเพื่อหัวใจหลักของประเทศ ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่แม้รู้อยู่เต็มอกว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม แต่การแพ้ใจตัวเองคงเป็นสิ่งที่น่าละอายมากกว่าการแพ้คนอื่นเสียอีก ความสวยงามบนสงครามเย็น คือมิตรภาพของตัวละครอย่างเจมส์และเอเบล ชายสองสัญชาติผู้มีเหตุให้ต้องพบกันในสถานการณ์ที่มาถูกต้องนัก ชายคนหนึ่งพยายามพิสูจน์อุดมการณ์และยืนหยัดต่อจุดยืนของตัวเองอย่างหนัก ชายอีกผู้หนึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับเขา ทั้งสองมีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันแต่ชาติของทั้งคู่ บังคับให้พวกเขาต้องเป็น “ศัตรู” มากกว่าเพื่อนเจมส์ไม่เคยละความพยายามในการช่วยเหลือเอเบลเลยสักครั้ง เขาเพียรพยายามหาทุกวิถีทางให้ลูกความรอด ยอมโดนคนในชาติตราหน้า ปองร้าย ก่นด่าและสาปแช่ง หรือแม้แต่ยอมเดินตากหิมะท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บเพื่อเจรจาแลกเปลี่ยน … สิ่งเหล่านั้น เอเบลเองก็รู้ ท้ายที่สุดเขาจึงได้มอบของขวัญให้แก่เจมส์ ดังที่เขากล่าวว่า “ผมมีของขวัญให้คุณ มันเป็นภาพวาด หวังว่ามันคงมีความหมายกับคุณ”แต่เจมส์กลับรู้ตัวว่าเขาไม่มีของขวัญอะไรให้เมื่อเขาทั้งสองคนต้องเอ่ยคำร่ำลาเจมส์จึงกล่าวเพียงว่า “ขอโทษนะ ผมไม่มีของขวัญให้คุณ”“นี่ไงของขวัญจากคุณ…ของขวัญจากคุณ” ประโยคตอบกลับของนักโทษวัยชราแฝงไปด้วยความหมายของขวัญที่ว่านั้นเจมส์ได้พยายามมอบให้แก่เอเบลหลายครั้งแล้ว ของขวัญอันหมายถึงทุกสิ่งที่เจมส์พยายามต่อสู้เพื่อให้ได้ของขวัญที่มอบให้จากเบื้องลึกของจิตใจ… ของขวัญที่มีชื่อว่า มิตรภาพ และความจริงใจ(ภาพจาก : pixabay.com ) ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองชั่วโมงสตีเวน สปีลเบิร์ก สามารถสอดแทรกประเด็นในสังคมได้อย่างครบถ้วน ไม่ได้เชิดชูหรือเยินยออเมริกาทั้งหมด แต่ก็ยังมีการจิกกัด ล้อเลียน โดยเฉพาะกรณีของเจ้านายถูกเสมอ… ผ่านมากี่ร้อยกี่สิบปี เจ้านายก็ยังเป็นเจ้านายจริงๆ เรียกได้ว่าผู้กำกับคนนี้สามารถเสกงานขึ้นราวกับมีเวทมนตร์ในมือ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นภาพยนตร์ที่แสดงภาพขาว-ดำ สปีลเบิร์กเผยให้เห็นความไม่สมบูรณ์ของอเมริกา แม้มีจุดด่างพร้อยบ้างแต่ท้ายที่สุดสิ่งที่ทำให้อเมริกายืนหยัด และยังคงเป็นประเทศมหาอำนาจคือ “สิทธิ เสรีภาพ มนุษยธรรม” ที่มีให้แก่ทุกคน… อ้างอิง: https://www.rottentomatoes.com/m/bridge_of_spies/#audience_reviewshttps://www.washingtonpost.com/goingoutguide/movies/bridge-of-spies-is-an-engrossing-account-of-a-real-life-cold-war-case/2015/10/15/a7b25262-71de-11e5-9cbb-790369643cf9_story.html?utm_term=.f81cd6334755http://www.imdb.com/title/tt3682448/reviews?ref_=tt_ov_rthttps://movie.mthai.com/movie-review/187773.htmlhttp://www.majorcineplex.com/news/Steven-Spielberghttps://en.wikipedia.org/wiki/Bridge_of_Spies_(film)https://collider.com/bridge-of-spies-score-thomas-newman/https://www.biography.com/news/bridge-of-spies-true-story