เรื่องราวช่วงวันหยุดปีใหม่ ปี 63 ปีใหม่ปิด 5 วัน เป็นปีใหม่ปีแรกที่ต้องมาอยู่ต่างถิ่นไกลบ้าน จากปัตตานีมาอยู่สกลนคร อาจไม่ได้ไกลอะไรมากเพราะอย่างน้อย ๆ ก็อยู่ในประเทศเพียงอยู่กันคนละภาค และภาคอีสานเป็นภาคที่ฉันไม่เคยมาเยือนเลยสักครั้ง ครั้งนี้เลยถือเป็นโอกาสที่ดีที่ฉันจะได้มาแวะเวียนเป็นประสบการณ์ใหม่ให้ตัวเองที่ไม่รู้ว่าถ้าไม่ใช่ครั้งนี้จะมีโอกาสอีกเมื่อไร แต่การใช้ชีวิตช่วงปีใหม่คนเดียวมันไม่ค่อยดีสักเท่าไรเลยนะตัวฉัน คิดได้แบบนั้นฉันก็รีบกางแผนที่ใน Google map ในขณะนั้นจึงนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนอยู่นครพนม ซึ่งเป็นจังหวัดข้าง ๆ ที่ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ถ้าไม่ไปก็แอบรู้สึกเสียดายไม่เบาเลยนะทั้งที่ได้มาอยู่อีสานทั้งที คิดได้ดังนั้นกระเป๋าเป้ใบโปรดก็ถูกเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นบรรจุลงไปอย่างว่องไว ก่อนที่ฉันจะลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวหยิบกระเป๋าสะพายหลังเดินออกจากห้องอย่างเร่งรีบเพื่อให้ทันกับรถสองแถวไปยังบขส. โชคดีที่ฉันสามารถเหาะมาถึงรถได้ทันก่อนที่รถจะออกเพียงไม่นาน ฉันที่ได้ขึ้นรถสองแถวในเมืองสกลนครครั้งแรกก็แอบตื่นตาตื่นใจกับภาพบรรยากาศตลอดทาง ภาพที่เห็นถูกบันทึกลงในหน่วยความทรงจำที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสมองตัวน้อยของฉัน หลังจากรถสองแถวเทียบจอดที่บขส.ฉันก็เดินตรงไปหารถทัวร์ที่จะสามารถพาฉันตรงไปยังนครพนม ในระหว่างที่ยืนงงในดงผู้คนฉันก็โชคดีที่ได้เจอกับพี่วินใจดีซึ่งเป็นคนช่วยบอกตำแหน่งที่ตั้งคิวรถนครพนม ไม่รอช้าฉันก็เดินตรงไปจัดการซื้อตั๋วอย่างไว ในราคา 85 บาท ซึ่งรถที่จะขึ้นในครั้งนี้เป็นรถทัวร์สายอุดรธานี - สกลนคร - นครพนม ฉันนั่งรอไม่นานนักรถก็มาจอดเทียบท่าเจ้าหน้าที่ขายตั๋วก็เรียกพวกเราที่นั่งอยู่ให้ขึ้นรถ ครั้งแรกกับการขึ้นรถทัวร์คนเดียวมันก็แอบหวั่นอยู่ไม่เบาเลยนะ ฉันเลือกที่นั่งที่คิดว่าตัวเองจะสามารถนอนได้สบายที่สุด เพราะสำหรับฉันแล้วการได้หลับในระหว่างการเดินทางคือที่สุดของที่สุด หูฟังถูกเสียบไปที่หูเป็นการตัดขาดจากโลกภายนอก เพลลิสต์เพลงโปรดถูกกดเล่นอย่างไม่รอช้าและไม่นานฉันก็ได้เดินทางมาถึงห้วงนิทราลึก ซึ่งเป็นการนอนที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจที่สุด เวลาราว 1 ชั่วโมงครึ่งก็ได้พาฉันมาถึงบขส.นครพนม เป้าหมายต่อไปของฉันคือหาทางไปที่ท่ารถท่าอุเทน เพื่อเดินทางไปจิตเวชนครพนมราชนครินทร์ที่มีเจ้าเพื่อน 2 คนฝึกงานอยู่ที่นั้น ฉันมาถึงท่ารถท่าอุเทนด้วยมอเตอร์ไซค์วินในราคา 30 และจ่ายค่ารถสองแถวอีก 20 บาท รถสองแถวท่าอุเทนจอดนิ่งที่ฉันหันไปเห็นป้ายตัวโตเขียนไว้ว่า "โรงพยาบาลจิตเวชนครพนมราชนครินทร์" บอกให้ฉันที่นั่งงง ๆ มึน ๆ รู้ว่าตอนนี้ตัวเองได้มาถึงจุดหมายของทริปปีใหม่นี้แล้ว ฉันที่เดินลงจากรถมายืนรอหน้าโรงพยาบาลอย่างงง ๆ เพราะไม่รู้ว่าหอพักของเพื่อนอยู่ตรงไหน หันซ้าย หันขวา หันหน้า หันหลัง ก็ไม่เห็นหอพักเลย ในระหว่างนั้นสายเรียกเขาดังขึ้นแสดงชื่อของเพื่อนก่อนที่จะได้ยินเสียงเรียกคุ้นหูชวนให้ฉันหันไปมอง เห็นเธอยืนอยู่ในซอยของอีกฟากของถนนสายนี้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีรถวิ่งผ่านฉันก็รีบวิ่งข้ามถนนเส้นใหญ่นี้ไปอย่างไว เป้าหมายของฉันในครั้งนี้คือการได้มาเจอเพื่อนนี้ไง อาหารมื้ออร่อยถูกเตรียมไว้ให้ฉันที่เป็นแขกผู้มาเยือนได้กินอย่างเอร็ดอร่อย แต่ฉันว่าอาหารมื้อนี้ไม่ได้อร่อยเพียงเพราะเมนูหรือฝีมือของแม่ครัวคนสวยเท่านั้น แต่มันคือการได้มีใครสักคนอยู่ร่วมในมื้ออาหารไปกับเราด้วยต่างหาก และนั้นคือสิ่งที่ทำให้อาหารมื้อหนึ่งอร่อยมากสำหรับฉันเหมือนเช่นในครั้งนี้ไงที่ฉันมีเพื่อนร่วมกินข้าวไปด้วยกันถึงอีก 2 คน กินไปคุยไป แชร์เรื่องราวต่าง ๆ ที่เราต่างได้พบเจอกันตลอดการจากบ้านมาอยู่แสนไกลในครั้งนี้ ตกเย็นเรา 3 คนก็ออกเดินตามทางลัดเลาะตามซอยไปเพื่อทะลุไปยังถนนใหญ่อีกฟากที่จะพาเราไปพบกับแม่น้ำที่เป็นดังสายเลือดใหญ่คั่นกลางระหว่างไทยและลาวไว้ "แม่น้ำโขง" ในตอนเด็กที่ได้เพียงแค่ดูผ่านจอโทรทัศน์ฉันคิดเพียงว่ามันคงเป็นแม่น้ำสายธรรมดา ๆ แม่น้ำหนึ่งที่กั้นกลางเพื่อแบ่งประเทศไว้ แต่วันนี้วันที่ฉันได้เดินทางมาถึงยังแม่น้ำโขงถึงทำให้สัมผัสเข้ากับบางอย่างที่ทำให้ความคิดในวัยเด็กของฉันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่แค่แม่น้ำที่คั่นประเทศแต่มันคือชีวิตที่ไหลวนเวียนอยู่ภายในนั้น คือร่องรอยของอารยธรรม คือความสวยงสม คือความเวิ้งว้าง คือความอบอุ่นที่แสนสงบ คือความสุขุม ฉันที่ยืนนิ่งมองสายน้ำไหลผ่านไปเรื่อย ๆ ได้พบว่า.... แท้จริงแล้วมนุษย์เราตัวเล็กนิดเดียวถ้าเทียบกับธรรมชาติของโลกใบนี้ ดังเช่นฉันที่ตัวน้อยนิดเมื่อยืนอยู่ริมโขง มันทำให้มีคำถามผุดขึ้นมาในหัวของฉัน...แล้วทำไมกันที่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเรา ๆ ถึงทำลายธรรมชาติที่โอบกอดเราได้อย่างไม่ใยดี หรือเพราะว่าเราเล็กเกินกว่าที่สัมผัสได้ถึงหัวใจของธรรมชาติ หรือเพราะอะไรกันแน่? ซึ่งในตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรแต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรับรู้ได้ดีในตอนนี้คือฉันจะเป็นคนหนึ่งที่จะช่วยดูแลมันไว้ ฉันแค่อยากให้คนในรุ่นหลังได้มีโอกาสเห็นอย่างที่ฉันได้เห็นในครั้งนี้ มีโอกาสได้สัมผัสอย่างที่ฉันได้สัมผัสในครั้งนี้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว..... แม่น้ำโขงมันเป็นมากกว่าแม่น้ำ เพราะมันคือชีวิตที่ยังคงไหลเวียนอย่างไม่รู้จบ เรานั่งเล่นรอให้พระอาทิตย์ดวงโตลาลับพ้นขอบฟ้าไปปล่อยให้ดวงดาว ดาวงจันทร์ และความมืดเข้ามาทำงานแทนที่ความสว่างไสว ลมหนาวจากสายน้ำกว้างได้พัดผ่านมากระทบจนกายรู้สึกหนาวสั่น แต่ในใจกลับมีความรู้สึกอบอุ่นลอยฟุ้งอยู่ภายใน ขอบคุณนครพนม ขอบคุณแม่น้ำโขง ขอบคุณเจ้าเพื่อน 2 คน ขอบคุณทุก ๆ อย่างที่พาเรามาพบเจอประสบการณ์ใหม่ ๆ ในครั้งนี้ เครดิต : ภาพถ่ายด้วยตัวเองจากสถานที่จริง