ลานจะคึ คือ ลานศักดิ์สิทธิ์ของการเต้นจะคึของชาวเขาเผ่ามูเซอ การเต้นจะคึจะมีขึ้นในช่วงปีใหม่ของเผ่ามูเซอ ซึ่งมีความสำคัญมากที่สุดสำหรับพวกเขา ไม่ว่าจะกระจัดกระจายไปอยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ทุกคนจะกลับบ้าน ใครไม่กลับถือว่าไม่ใช่คน ไม่ใช่พี่น้อง จากตัวเมืองเชียงใหม่ ฉันออกเดินทางตั้งแต่ตี 4 ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บของปลายเดือนธันวาคม เพื่อไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนช่วงทางแยกดอยอินทนนท์ แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็เสียเวลาหลงทางเล่น ๆ ไปเกือบ 20 กม. ไปไม่ทันชื่นชมความงามของสวนสนยามเช้าที่อบอวลด้วยไอหมอกลอยพริ้ว 179 กม. จากตัวเมืองเชียงใหม่ไปสู่ตัวเมือง อ.อมก๋อย เส้นทางช่วงแรกที่แยกไปยังหมู่บ้านมูเซอระยะทาง 40 กม. และอีก 16 กม. จนถึงหมู่บ้านมูเซอเป็นถนนลาดยางที่เริ่มสูงชันขึ้นเนิน ทั้งทอดโค้งวกเวียนไปตามไหล่เขา รถวิ่งเลียบไปตามถนนและขอบเหวลึก รอบตัวที่มองเห็นเป็นเวิ้งหุบเขา โอบล้อมไปด้วยเทือกเขาซ้อนแนวสลับกันกว้างไกล บางช่วงก็เป็นป่าสน ทางโค้งลดเลี้ยว ทางขึ้นที่สูงชัน เดี๋ยวก็กลายเป็นเส้นทางทิ้งดิ่ง สลับกันไปมาอยู่บนขอบเขาเส้นบาง “บางทีเส้นทางเช่นนี้ อาจเป็นสิ่งสกัดกั้นวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของพวกเขาให้คงอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ก็ได้” ช่วงเวลา 1 เดือนหลังจากพิธีปีใหม่เริ่มขึ้น ชาวมูเซอจะหยุดพักจากการทำงาน ที่พวกเขาตรากตรำมาตลอดทั้งปี จะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาจะแวะเวียน เยี่ยมคารวะญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ ต่างถิ่น ต่างอำเภอ มีการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ เลี้ยงผี เต้นจะคึ ฉันถาม “นะเต๊าะ” เรื่องศาสนา เธอบอกว่าส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แต่ชาวบ้านอาจบอกว่าพวกเขานับถือ “พุทธผี” เพราะ “ผี” มีอิทธิผลสำหรับชาวมูเซอเป็นอย่างมาก แล้วก็มีอยู่หลายประเภท ทั้ง ผีบ้าน ผีเรือน ผีบรรพบุรุษ ผีเจ้าที่ ผีลานจะคึ ผีไร่ ผีป่า ผีน้ำ ผีต้นน้ำ แม้กระทั่งสัตว์ต่าง ๆ ที่ชาวมูเซอเลี้ยง อย่าง ผีขวัญหมู ผีขวัญวัว ผีขวัญควาย และ ผีเร่ร่อน ในบรรดาผีต่าง ๆ ที่ชาวมูเซอนับถือกลัวเกรงนั้น คือ “ผีลานจะคึ” ซึ่งถือกันว่าเป็นผีที่มีศักดิ์สูงมาก ทุกหมู่บ้านของชาวมูเซอไม่อาจขาดลานจะคึได้ ช่วงปีใหม่ตลอด 1 เดือนนี้มีข้อห้ามอยู่ว่า บรรดาของป่าอย่าง กล้วย ไม้ไผ่ ห้ามนำเข้าหมู่บ้าน หากใครนำเข้ามาก็ต้องเสียผี โดยต้องเสียหมูหนึ่งตัวเพื่อทำการเลี้ยงผี รวมทั้งห้ามล่าสัตว์ตลอดเดือนที่พวกเขาถือว่าเป็นเดือนแห่งการ “จำศีล” มีข้อห้ามปฏิบัติอยู่มากมาย ใครทำผิดเป็นต้องเสียหมูกันนั่นล่ะ เราพักค้างคืนกันที่บ้านของ “น๊ะเต๊าะ” ที่นี่จะแยกตัวบ้านซึ่งมีห้องนอนกับโถงเล็ก ๆ ออกจากเรือนครัว เรือนครัวที่นี่ดูจะกว้างกว่าตัวบ้าน หรือ เท่ากัน อาจเป็นเพราะว่าเรือนครัวของชาวมูเซอนั้น เป็นทั้งที่ล้อมวงกินข้าว และ นั่งพูดคุย ดื่มชากันตอนเช้าตรู่ และ ดื่มชากันตอนค่ำ ท่ามกลางความหนาวเย็น กลางเรือนครัวของทุกบ้านจะมีเตาอั้งโล่ตั้งอยู่ 1-2 เตา และเหมือนไฟในเตานั้นแทบจะไม่เคยดับมอด “น๊ะเต๊าะ” จัดเตรียมทุกอย่างให้เราเป็นอย่างดี เท่าที่เธอจะสามารถทำให้ได้ ผ้าห่มผืนใหม่ที่เก็บไว้ตลอดปี หรือ หลาย ๆ ผืนที่ยังไม่เคยได้ใช้ ถูกนำมาวางเรียงรายพร้อมที่นอนในเรือนครัว กลางวันที่ว่าหนาวเย็นนั้น เมื่อแสงสุดท้ายลาลับ ความหนาวเย็นยิ่งกัดเซาะเข้าไปถึงเนื้อใน ลมหนาวที่เบียดตัวแทรกเข้ามาตามแผ่นร่องกระดานไม้นั้น ช่างหนาวเย็นจับขั้วหัวใจ ช่วงเย็นก่อนหน้านี้ชาวบ้านต่างพากันเตรียมตัวสำหรับวันขึ้นปีใหม่ในวันรุ่งขึ้น ลานจะคึนั้นแล้วเสร็จก่อนหน้านี้หลายวันแล้ว แต่ละบ้านจะช่วยกันทำ “ข้าวปุ๊” ของสำคัญสำหรับวันขึ้นปีใหม่ ข้าวเหนียวจะถูกนำมาหุงแทนการนึ่งสุกแล้วนำไปเทใส่ครกไม้ ที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่ขุดให้เป็นหลุม ใช้ไม้ไผ่ลำยาวตำลงไปในครก ต้องใช้แรงคน 2 คนในการทำ สลับกันตำตามจังหวะยกขึ้น ยกลง จนกว่าข้าวแหลกเหลวกลายเป็นก้อนแป้งเหนียวหนืด ผู้หญิงจะล้อมวงที่พื้น ช่วยกันปั้นแป้งเป็นแผ่นกลมขนาดใหญ่ พร้อมโรยงาที่ผิวหน้า แผ่นแป้งกลม ๆ นี้พอแห้งก็จะแข็งกรังเหมือนข้าวเกรียบที่ยังไม่ได้ทอด เวลาจะกินก็ต้องเอาไปย่างไฟอุ่น ๆ จากเตา ที่ว่าแข็ง ๆ แห้งกรัง ก็ค่อย ๆ โป่งพองขึ้น ซึ่งคำว่า “ปุ๊” นั้นในภาษาท้องถิ่นของชาวเหนือ ก็มีความหมายได้ว่า การพองตัว หรือ การขึ้นฟู “ข้าวปุ๊” ของที่นี่ก็คงคล้าย ๆ อย่างนั้น “ข้าวปุ๊” เป็นอาหารพิเศษที่ใช้ในพิธีกรรมเซ่นไหว้ต่าง ๆ คนมูเซอจะได้กินข้าวปุ๊ก็เฉพาะช่วงเทศกาลสำคัญเท่านั้น รสชาติข้าวปุ๊นั้น แทบเรียกได้ว่าไม่มีรสชาติใด นอกจากรสจืดสนิทข้างนอกทั้งกรอบทั้งแข็ง ๆ เหนียว ๆ เนื้อในก็พอนิ่ม ๆ อุ่น ๆ ผสมผสานกันทั้งละอองขี้เถ้าเล็กน้อยจากเตาถ่าน ข้าวปุ๊จะถูกเก็บรักษาไว้บนเรือน กองสุม ๆ หรือ ใส่กระด้ง ใส่ถุงแขวนไว้ และต้องดูแลให้ดี ไม่ให้สัตว์เข้ามากินเพราะเชื่อกันอีกว่า จะมีอันเป็นไป เราเดินถ่ายภาพบรรยากาศรอบ ๆ หมู่บ้าน หมูตัวเขื่องกำลังห้อยแขวนอยู่บนไม้คาน หนุ่มมูเซอ 5-6 คน กำลังช่วยกันชำแหละและขูดหนังที่ไหม้ดำออก นั่นเป็นอาหารสำหรับทุกครัวเรือนสำหรับเย็นนี้ ก่อนวันขึ้นปีใหม่รุ่งขึ้นจะมาถึง ภาพที่เห็นทำให้เพื่อนร่วมทริปบางคนตะขิดตะขวงใจที่จะตักหมูเข้าปากในมื้อเย็น และ เป็นมื้อแรกของเราที่บ้านมูเซอวันนั้น สำหรับฉันแล้ว มันไม่ต่างอะไรกันกับหมูที่เราซื้อหามาเป็นอาหารในชีวิตประจำวันของเรา ระหว่างหมูตลาด กับ หมูมูเซอ ถ้าสิ่งที่เราเห็นทำให้เรารู้สึกเวทนาเพียงชั่วครู่ แล้วเพียงชั่วข้ามคืนความเวทนาก็สูญหาย...... มโนธรรมที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ยั่งยืนอะไรในใจของเราเลย คิดได้อย่างนี้แล้ว อาหารมื้อแรกของฉันที่บ้านของน๊ะเต๊าะ จึงเป็นมื้อที่แปลกอร่อยต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะผักสดที่รสชาติหวานกรอบ และ ปราศจากสารเคมี ที่พวกเขาปลูกไว้กินกันเอง ส่วนผักที่นำลงไปขายพื้นราบนั้น ฉันคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องถามว่ามันปลอดสารเคมีหรือไม่ วัฒนธรรมการล้อมวงกินข้าวของที่นี่ ทุกคนจะนั่งล้อมวงรอบขันโตกไม้ไผ่ กับข้าวจะวางเรียงรายไว้ในโตกข้าว รอบ ๆ ริมด้านในขันโตกจะมีช่องว่างระหว่างสำรับที่วางอยู่ ทุกคนจะตักข้าววางไว้ในโตกข้าวตรงกับส่วนที่ตนเองนั่งอยู่ แล้วก็ใช้มือแทนช้อนส้อม เวลาเดิน ผ่านบ้านไหนทุกคนก็จะส่งเสียงเรียก ทั้งคะยั้นคะยอให้เข้าไปร่วมวงด้วย ซึ่งฉันก็ไม่ค่อยจะพลาดเท่าไหร่หรอก ความอิ่ม หรือ ความอยาก ไม่ใช่เครื่องกำหนดของสัมพันธภาพ..... ใกล้ค่ำแล้ว เทียนเล่มแรกที่นำมาปักกลางลานในพิธีเปิดลานจะคึ ทำขึ้นโดยนำเทียนขี้ผึ้งจากบ้านทั้ง 6 หลังที่มีห้องผีมาฟั่นรวมกัน แสงเทียนจึงเสมือนสัญลักษณ์ความกลมเกลียวของชุมชน ต้องมีคนคอยต่อเทียนเล่มใหม่ให้เปลวไฟลุกติดตลอดเวลาคืนนี้หนุ่ม ๆ สาว ๆ และเด็ก ๆ จะพากันเต้นจะคึ รอบ ๆ ลานจะคึ สลับสับเปลี่ยนกันไปจนกว่าจะรุ่งเช้า จังหวะและท่วงท่าการเต้นจะคึนั้น มองดูแล้วเหมือนไม่ยากเย็นอะไร แต่พอลองเข้าจริง ๆ ก็ก้าวเท้าไม่ทัน และผิดจังหวะไปทุกที ชายหญิง จะ แยกกลุ่มการเต้น จับมือประสานต่อ ๆ กันเป็นแถวยาว การเต้นของผู้ชายดูจะใช้แรงค่อนข้างเยอะตามจังหวะแรงเหวี่ยงของเท้า ที่ขึ้นลง ค่อนข้างกระแทกกระทั้นพอควร ส่วนผู้หญิงจะเต้นไปตามจังหวะแคนไม่หนักหน่วง ทุกย่างก้าว ทุกจังหวะดูกลมกลืนสอดคล้อง และพร้อมเพรียงกันอย่างน่าประหลาดใจ จนคิดไปว่า หากลูกหลานมูเซอคนใดที่ห่างบ้านไปนาน ๆ กลับมาอีกครั้งเขาจะยังร่วมเต้นจะคึร่วมกับเพื่อนชาวเผ่าได้ดั่งเดิมหรือไม่ การเต้นจะคึนั้นเป็นเสมือนสิ่งยึดเหนี่ยวเผ่าพันธุ์ของชาวมูเซอให้คงอยู่ มือทุกมือที่จับและคล้องไว้ด้วยกันในระหว่างเต้นจะคึนั้น จะต้องไม่หลุดออกจากกันจนกว่าเสียงดนตรีจะจบลง ยิ่งดึกยิ่งหนาวยะเยือก ดวงดาวพร่างพราวเต็มฟ้า เสียงประทัดดังก้องกลุ่มควันลอยคละคลุ้ง การเต้นจะคึเริ่มต้นในคืนนี้ รอบแล้วรอบเล่าพร้อมจังหวะเสียงแคน และ เครื่องดนตรีอื่น ๆ หมดรอบแล้วคนที่เหนื่อยออกไปพัก เปลี่ยนคนอื่นเข้ามาร่วมแถวเต้นในรอบใหม่ “น๊ะเต๊าะ” หญิงสาววัย 24 บอกฉันว่า การเต้นจะคึ คือ การทำบุญ ใครที่เต้นจะคึได้มากครั้งก็ยิ่งได้บุญมาก ก่อนรุ่งสางพรุ่งนี้ ชาวบ้านจะมีการจุดประทัดเสียงดังกังวานสะท้านสะเทือนไปทั่วหุบเขา เพื่อต้อนรับวันขึ้นปีใหม่ ที่นี่มีการรดน้ำ และ ขอขมาลาโทษ แก่ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน ออกจะดูแปลกตาอยู่บ้างสำหรับคนเมืองอย่างเรา ๆ ที่เห็นชาวมูเซอ ถือ เหยือกน้ำ และ กาน้ำ ไปบ้านผู้แก่ผู้เฒ่า และ หลังจากให้ศีลให้พรกันแล้ว ก็รดน้ำผ่านมือโดยผ่านกาน้ำ หรือ เหยือกน้ำ นั่นเอง สายของวันใหม่จะมีการฆ่าหมู เพื่อเลี้ยงผี และ ทำพิธีกรรมในหมู่บ้าน จะมีการเต้นจะคึกันที่ชานบ้าน ผู้ชายจะพากันกระโดดเอาสองเท้ากระแทกพื้นดังลั่นจนนอกชานสะเทือน “ใครที่ยิ่งเต้นจะคึแรง เขาถือว่ายิ่งได้บุญมาก” ทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ มีชาวมูเซอจากหมู่บ้านใกล้เคียง พากันมาดำหัวญาติผู้ใหญ่ที่นี่ หมุนเวียนกันไปตามหมู่บ้าน ก่อนเข้านอนคืนนั้น ที่ชานเรือนหน้าเรือนครัวของน๊ะเต๊าะ ผ่านออกไปในความมืด เลยพ้นจากลานจะคึออกไป ฉันมองเห็นหมู่ดาวดาระดาษ เบียดเสียดกันเต็มท้องฟ้าจนดูเหมือนจะไม่มีที่พอ ความมืดอันไพศาลปกคลุมไปทั่วป่าเขา เสียงแคนยังแผ่วแว่วมาให้ได้ยิน ทุกย่างก้าวการเต้นจะคึของชาวมูเซอ เหมือนจะบอกว่าไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ ณ ที่แห่งใดในแผ่นดินนี้ เผ่าพันธุ์ของพวกเขายังคงดำรงอยู่ พร้อมมือที่เกี่ยวกระหวัด พร้อมเสียงจังหวะฝีเท้าที่กระทบพื้นไปตามท่วงทำนอง ขอบคุณข้าวทุกเม็ดของน๊ะเต๊าะ ที่ทำให้ประสบการณ์ชีวิตฉันเติบโต ดาวีโย (สวัสดี) มะเคอะสึ (ดาว) หับปา (พระจันทร์) อ่อมปา (ข้าว) อามี (ไฟ) งา (ฉัน) นอ (เธอ) นานั๊วจอแต (ฉันรักเธอ)ย่างก้าวของเผ่าพันธุ์บนลานจะคึ ภาพและคำโดย: พัตติมา