สวัสดีจ้าทุกคน...ในช่วง New Normal นี้แม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือค่อนข้างเยอะ แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามมากที่สุดนั่นก็คือ "ภูมิคุ้มกันในชีวิต" ให้กับลูกของคนเป็นพ่อเป็นแม่นั่นเอง แม้ว่าเราจะเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงแค่ไหน แต่เราต้องระมัดระวังพฤติกรรมบางอย่างของเราที่ทำให้ลูก "เสียใจ" บางพฤติกรรมก็ทำให้ลูก "เสียคน" ได้เช่นกัน เอาล่ะค่ะแม้ว่าจะต้องระมัดระวัง COVID-19 อยู่ แต่การเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่รักแบบพอดี (ไม่มากเกินไป และไม่น้อยเกินไปจนทำลายโดยปริยาย) จะไม่ทำร้ายลูกในอนาคตเมื่อเขาเติบโตขึ้น ก็เป็นการเพิ่มวัคซีนในชีวิตที่ดีให้ลูกได้มากกว่าวัคซีนประเภทอื่น ๆ ในโลกนี้อีกค่ะแต่ "ดูละครต้องย้อนดูตน" ซึ่งเป็นประโยคที่ยังไม่เชยไม่ว่าจะอยู่ในยุคศักราชไหนก็ตาม ก็ยังสอนใจใครหลาย ๆ คน ไม่มากก็น้อย ทางผู้เขียนขออนุญาตนำเสนอละครเรื่องดังที่ยังอยู่ในกระแส (แม้บางเรื่องจะจบไปแล้ว แต่คำสอนจากละครยังใช้ได้ทุกสมัย) เพื่อสอนใจคนเป็นพ่อแม่ให้ระมัดระวังในการใช้ชีวิตของตน ระมัดระวังเรื่องการเลี้ยงดูของพ่อแม่ในแต่ละรูปแบบเพื่อไม่ให้เป็น "พ่อแม่รังแกฉัน" จะยกตัวอย่างละครในกระแสดังนี้ตัวอย่างละครสอนใจ "พ่อแม่รังแกฉัน"1. อกเกือบหักแอบรักคุณสามี (ช่อง 3 : 2563)แม้ว่าจะลาจอไปแล้ว แต่ก็ทำให้อารมณ์ค้างไปนานพอสมควร (ค้างแบบปลื้มปริ่ม) และเสียงหัวเราะปนดราม่าครบสูตรในเรื่องเดียวกัน เป็นละครที่ผู้เขียนชื่นชอบที่สุดตั้งแต่ดูมา ซึ่งใครคิดถึง "พี่เธียร" "น้องเมย" มีโซ่ทองคล้องใจ เช่น "น้องเห็บ" และ "น้องเหา" แต่สิ่งที่ผู้เขียนทำให้นึกถึงภาพที่เรียกว่าพ่อแม่รังแกฉันในเรื่องนี้นั่นก็คือ "ญาดา" ซึ่งเป็นตัวละครที่ใคร ๆ หมั่นไส้ ภายนอกเป็นผู้หญิงน่ารังเกียจ มีสามีแล้วตามรังควานคนอื่น ซึ่งสื่อออกมาถึงผลลัพธ์ของพ่อแม่รังแกฉันได้ชัดเจน เนื่องจากขาดแม่ตั้งแต่เด็ก พ่อไม่เข้าใจหัวอกลูกสาว และไม่มีเวลาเอาใจใส่จนเกิดความอ้างว้างในจิตใจที่เรียกว่า ช่องว่างของ Need For Affection (ความต้องการความรัก) จึงแสดงออกในทางรังควานเพราะความโหยหาในจิตใจ จนเห็นชัดได้ว่า ความรักในช่วงแรกของชีวิตสำคัญมาก! การที่ครอบครัวไม่ครบพ่อแม่ลูกมันก็ปวดร้าวพอสมควรแล้ว และพ่อหรือแม่ที่เอาแต่เรื่องของตนเองจนไม่มีเวลาให้ แม้กระทั่งเวลาที่จะปรับความเข้าใจ สื่อสารกันตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ก็ส่งผลทำให้เกิดปมในจิตใจที่ไม่ดีจนกระทั่งส่งผลในชีวิตตอนที่เติบโตได้เช่นกัน2. Who Are You เธอคนนั้นคือฉันอีกคน (GMM25 : 2563)เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์จากต่างประเทศ (Who Are You-School 2015 ใน Version เกาหลีใต้) ที่ปรับเป็น Version ไทยที่นำมาปรับบทและเนื้อเรื่องเสียดสีกับปัญหาในสังคมไทยพอสมควร ไม่ว่าจะสะท้อนเรื่องการแข่งขันทางสังคม การกลั่นแกล้งในโรงเรียน การห่วงชื่อเสียงโรงเรียนมากกว่าสวัสดิภาพของเด็ก ความเกรงใจมีน้ำหนักกว่าความถูกต้อง ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน จนภาพที่ชัดเจนที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใด ก็ยังสะท้อนเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน" เหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ใครหลายคนมองข้าม ไม่ว่าพ่อแม่เลี้ยงดูในรูปแบบไหนก็ตาม ซึ่งเนื้อเรื่องเล่าถึงต้นสายปลายเหตุอย่างชัดเจนว่าทำไมตัวละครถึงเป็นเช่นนั้น พ่อแม่เลี้ยงดูลูกแบบใดลูกก็เติบโตมาเช่นนั้น เช่น แม่ของมีนแม้ว่าจะให้ลูกทุกอย่างแต่มีนแม้ภายนอกจะเหมือนคนขี้เหวี่ยง แต่มีนเป็นคนกล้าคิดกล้าตัดสินใจ เด็ดขาดในตัวเอง มีเหตุ แม้ว่าเธอจะเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน, พีทเติบโตแบบแม่เผด็จการในชีวิตทุกอย่าง ไม่ว่าแม่ที่เป็นติวเตอร์บังคับให้เป็นที่ 1 เหนือกว่าลูกคนอื่น ไม่นั้นเสียชื่อลูกแม่เสียหมด, ธิดาถูกพ่อแม่สอนให้เป็นที่หนึ่ง ขอโทษไม่เป็นจนเสียคน ฟาดคนด้วยความรวยแล้วลงเอยที่การกลั่นแกล้งเพื่อน ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีจนมาย (ฝาแฝดของมีน) ตัดสินใจจบชีวิต, ไลลาไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร เพราะถูกแม่บังคับแม้กระทั่งยัดเงินเรียนพิเศษ จนไม่ชัดเจนว่าตัวเองชอบอะไรจริง ๆ ,กันต์เติบโตจากพ่อแม่หย่าร้างตั้งแต่เด็ก เลยกลายเป็นคนเกเร ทำตัวขัดกฎโรงเรียนประจำ ส่วนนทีเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ แม้ไม่ใช่คนรวยแต่เติบโตอย่างมีเหตุผล เข้าใจโลก อบอุ่น อยู่อย่างพอเพียง ผู้เขียนถือว่าเป็นละครที่สร้างมาตรงยุคสมัยมาก และเสียดสีปัญหาสังคมไทยที่เรื้อรังมีอยู่จริงอย่างชัดเจน และช่วยปรับเรื่องวิธีเลี้ยงดูลูกของแต่ละบ้าน ว่าจะเลี้ยงยังไงถึงจะไม่เติบโตแบบนั้นเหมือนในละครเรื่องนี้3. เนื้อใน (GMM25 : 2563)ในช่วงวิกฤตละครเรื่องนี้มีการ Rerun เพื่อเรียกกระแสจากผู้ชมอีกครั้ง แม้ว่าช่อง GMM25 จะฉายละครที่มีเนื้อหาแรงสำหรับเยาวชนสลับกับซีรีส์วัยรุ่น เพื่อไม่ให้กลายเป็นช่องนิยมเรื่องแย่จนกลุ่มผู้ชมบางกลุ่มรับไม่ได้ ละครเรื่อง "เนื้อใน" เป็นละครที่ปรับตามสมัยจากนวนิยายที่มาจากปลายปากกาของ กฤษณา อโศกสิน ที่เล่าเรื่องนอกจากเห็นภาพของ "รู้หน้าไม่รู้ใจ" กับ "ความไม่รู้จักพอ" ของตัวละครแล้ว แต่สิ่งที่สื่อให้เห็นภาพพ่อแม่รังแกฉันของละครเรื่องนี้นั่นก็คือ "เข็มเพชร" ที่เป็นตัวเอกของเรื่องว่า เหตุใดถึงกลายเป็นคนที่เลวร้าย ซึ่งเติบโตจากการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ที่เลี้ยงดูแบบผิด ๆ เอาใจใส่ลูกชายมากกว่าลูกสาว จนเกิดสองมาตรฐานในด้านความลำเอียง ลูกสาวต้องดิ้นรนอย่างยากลำบาก ส่วนลูกชายเติบโตอย่างเสียคนเนื่องจากความรักของพ่อแม่ที่ประเคนใส่มือ จนไม่ต่างอะไรจากเลี้ยงลูกชายเพื่อ "เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ" แล้วนี่เองก็สื่อให้เห็นว่า บางทีการเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่ไม่สร้างความเท่าเทียมให้กัน เกิดการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกัน (โดยเฉพาะปรนเปรอ ยกยอลูกชาย แต่ด่าทอลูกสาวในเชิงเหยียดเพศ) จึงทำให้เกิดปมเจ็บปวดในจิตใจจนกลายเป็นความริษยา (Jealousy) ในทางจิตวิทยา ซึ่งต้องอยู่เหนือกว่าใครที่เคยทำร้าย เอาเปรียบมาตลอด ถีบตัวเองเพื่อไม่ให้ถูกเหยียดหยามเหมือนที่พ่อแม่ตัวเองทำกับตน กลายเป็นแรงจูงใจ (Motivation) จนกลายเป็นความเห็นแก่ตัวโดยการสร้างเปลือกเหมือนแม่พระ แต่ซ่อนความร้ายกาจไว้ข้างในเหมือน "ปีศาจ"4. ไปให้ถึงดวงดาว (ช่อง One : 2563)เรียกได้ว่าเป็นละครที่กระแสดีอีกเรื่องตั้งแต่ต้นปี ถ้าไม่มองในมุมด้านเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ปะทะฝีมือกัน และมีนักแสดงมากฝีมือแสดงร่วมด้วย ซึ่งเนื้อหาจะเป็นการเล่าเรื่องชีวิตคู่ไม่ว่าจะคู่ที่มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมอย่างคู่ของชรัมภ์-เหมสุดา, คู่ข้าวใหม่ปลามันที่รอไปถึงดาวของ ธีวิน-ปายทอง และคู่อื่นที่น่าติดตาม เช่น คู่ของศิวทัศน์-จีรนันดา ซึ่งชีวิตคู่มีอุปสรรคมากมายที่ถาโถมเข้ามาไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน รุนแรงมากหรือน้อย มีเรื่องลำบากใจของคนรอบข้าง หรือมาอยู่ในจุดที่มีทางเบี่ยงที่จะต้องเลือก ทำให้เป็นเรื่องวัดใจมากในชีวิตจริง แต่เหตุที่ผู้เขียนมองในมุมเรื่องพ่อแม่รังแกฉัน คือ "ไข่มุก" ลูกสาวของชรัมภ์กับเหมสุดาที่มีนิสัยเรียกร้องความสนใจตลอดเวลาไม่ว่าจะที่บ้านหรือที่โรงเรียน บวกกับชนวนความขัดแย้งมาจากการเอาชนะกันระหว่างความเจ้าชู้ของพ่อ ความอารมณ์ร้ายของแม่ทำให้เกิด "จุดแตกหัก" ของชีวิตคู่และ "บาดแผล" ในใจของไข่มุก ที่เห็นพ่อแม่เซ็นใบหย่าต่อหน้าต่อตา กว่าคนเป็นพ่อแม่จะรู้สึกได้และปรับความเข้าใจกัน ก็เกือบจะสายเกินแก้ ตัวละครไข่มุกคือภาพของเด็กที่มีได้รับผลกระทบจากความบาดหมางของพ่อแม่ นำไปสู่ความคับข้องใจ (Frustration) ที่กลายเป็นปมเก็บกดอยู่ลึก ๆ ตลอดเวลา ในวัยเด็กการหย่าร้างของพ่อแม่จึงเป็นเรื่อง Sensitive มาก เพราะด้วยความเป็นเด็ก ยังไม่พร้อมรับมือ ในเมื่อพ่อแม่คือโลกทั้งใบ ในเมื่อโลกใบนี้เปลี่ยน เด็กจึงยังไม่มีภูมิคุ้มกันรับมือเมื่อพ่อแม่เปลี่ยนไปจากเดิม จึงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ควรให้ความสำคัญอย่างมาก แม้ว่าละครจะเปลี่ยนไปจากนวนิยายเรื่อง "ไปไม่ถึงดวงดาว" ในตอนจบอย่างมาก แต่ถือได้ว่าสอนใจในการใช้สติของการใช้ชีวิตคู่ ให้ใช้ชีวิตอย่างสุขุมรอบคอบ คิดหน้าคิดหลังก่อนที่จะทำอะไรลงไปว่า ผลกระทบของปัญหาภายในครอบครัวไม่ควรโทษกันไปมา และพูดจากันด้วยเหตุผลและเลี้ยงลูกเชิงบวกมากที่สุด (หากได้ดูตอนสุดท้ายที่เหมสุดาเจอกับจีรนันดาที่โรงพยาบาล จะรู้เลยว่าจีรนันดามีสติ มองโลกในแง่บวก) อีกทั้งช่วยตระหนักให้สังคมรู้ ไม่ว่าในชีวิตจริงหรือละคร หากพ่อแม่ทะเลาะกันด้วยเรื่องใดก็ตาม ในที่สุดคนที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ "ลูก" นั่นเอง5. ทะเลแปร (ช่องอมรินทร์ทีวี : 2563)ปิดท้ายที่ละครที่สะท้อนเรื่องพ่อแม่รังแกฉันในปี 2563 นี้ คงจะไม่พ้นเรื่อง "ทะเลแปร" ซึ่งเป็นละครที่เล่าเรื่องราวไม่ใช่แค่การฝ่าฟันมรสุมชีวิต และปัญหาเรื่องชีวิตคู่ของ "ทัตติยา" ที่เป็นนางเอกของเรื่องเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเล่าเรื่องพ่อแม่แต่ละประเภทที่เข้าข่าย "พ่อแม่รังแกฉัน" ชัดเจน ไม่ว่าจะตัวพระเอก "จารณ" ที่เติบโตมาบนกองเงินกองทอง แต่พ่อแม่ถูกเลี้ยงตามใจจนเสียคน (ประหนึ่งลูกฉันเป็นคนดี) มาสายเป็นว่าเล่น ไม่รับผิดชอบต่อตนเอง ซ้ำร้ายยังนอกใจนางเอก ทำให้บรรดาชู้ตามรังควานเธอ พอรู้ว่าต้นเหตุจากตนก็ไม่คิดปรับปรุง และนางเอกต้องขอหย่าเนื่องจากหมดความอดทน ตัวละครนี้เป็นตัวละครที่มาจากผลที่เลี้ยงลูกด้วยเงิน ไม่ว่าจะรวยล้นฟ้าแค่ไหน พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งพ่อแม่ปฏิบัติตนให้เห็นผิดชอบชั่วดี รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ทำ และสอนให้รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งพ่อแม่ของจารณบ่มนิสัยจนเสียคนไปโดยปริยาย "นนที" ผู้ชายอบอุ่น รักครอบครัว ที่เขาควรจะเป็นคนโชคดีที่ได้ทำตามหัวใจ แต่เขาถูกแม่ น้องสาวเผด็จการชีวิตตนแม้ว่าจะเติบโตแล้วก็ตาม รวมทั้งแฟนเก่าที่เข้าข่าย "ของหายอยากได้คืน" จริง ๆ นนทีก็เป็นคนดีนะ แต่ด้วยความที่ครอบครัวไม่เปิดใจยอมรับการตัดสินใจของลูกชาย จึงเป็นเหตุของความขัดแย้งในรักครั้งใหม่ของ "ทัตติยา" และถูกเป่าหูโดยแฟนเก่าของนนทีเอง จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนว่า ครอบครัวที่หลงเชื่อคำพูดคนอื่น (โดยเฉพาะแม่ของนนที) จนมาบังคับชีวิตลูก...ยังมีอยู่จริง! การที่ผู้เป็นแม่บังคับแม้กระทั่งจิตใจลูกจึงไม่ต่างอะไรจากการ "ฆ่าคนด้วยมือเปล่า" อย่างชัดเจน ยิ่งได้คำยั่วยุจากคนอื่นถือว่าเป็นสถาบันครอบครัวที่ "ไม่แข็งแรง" และขาดความ "เข้มแข็ง" และในชีวิตจริงคนเป็นลูกที่มีพ่อแม่เช่นนี้จะ "หน้าชื่นอกตรม" เหมือนเป็นระเบิดในใจภายหลังได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ ต่อมานอกจากสะท้อนในความเป็นลูกแล้ว ก็ยังสะท้อนในมุมมองความเป็นพ่อแม่เช่นกัน โดยเฉพาะ "รำแพน" ที่เป็นม่ายสาวแต่งงานอีกครั้งกับสามีฝรั่ง และเธอเป็นชู้กับจารณ ผลจากการเป็นชู้กับสามีคนอื่น ทำให้เรื่องข่าวฉาวดังไปทั่วออสเตรเลีย รวมทั้งผลเสียตกมาที่ "น้ำเพชร" ลูกสาวของรำแพนที่สามีฝรั่งที่รักรำแพนมาก และเลี้ยงดูน้ำเพชรเหมือนลูกในไส้ต้องเป็นทุกข์จากผลของข่าวฉาว จึงเป็นข้อที่เตือนสติของพ่อแม่ในยุคนี้อย่างดี ว่าอย่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเพราะ "ความเหงาเพียงชั่ววูบ" หรือ "ความไม่รู้จักอิ่ม" เลย เพราะหากทำอะไรโดยขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ผลเสียตกมาที่ลูก และคนที่ตนรักเสมอไม่ว่าจะมากหรือจะน้อย การตั้งสติก่อนจะทำอะไรเป็นเรื่องสำคัญมากเช่นกัน อย่างน้อยดีกว่ามาจนใจในภายหลังนะคะในยุคที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงการเปลี่ยนแปลงที่ "ทำเหมือนเดิม...แต่ไม่เหมือนเดิม" เราอาจจะต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยก็จริง แต่ยังไงเสียก็ต้องเลี้ยงดูลูกด้วยความรอบคอบ มองโลกจากความเป็นจริงให้มากที่สุด ไม่ว่าคุณจะรวยหรือจน ไม่ควรปล่อยปะละเลยไม่ว่าจะต้นตอสาเหตุ ความเปราะบางในใจลูก หัวใจลูกต้องการอะไร รวมทั้งสิ่งที่ลูกทำผิด ไม่ควรปล่อยให้มองข้ามเพียงแค่ "ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ" ปล่อยผ่านโดยไม่แก้ไข หรือใช้เงินปิดเรื่องก็จบเงียบแล้ว จึงไม่ต่างอะไรจากฆ่าลูกโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ทางที่ดีควรปรึกษานักจิตวิทยาด้านเด็กและวัยรุ่นควบคู่กับการเลี้ยงดู หรือคนเป็นพ่อแม่ควรดูละครเพื่อมองย้อนไปที่ตัวละครว่า เหตุต้น...ผลกระทบ...ที่ลูกผิดปกติ ความเป็นพ่อแม่ทำอะไรไม่ควรหรือเปล่า หรือเป็นเช่นนั้นเพราะอะไร? ผู้เขียนหวังว่าการยกตัวอย่างละคร "พ่อแม่รังแกฉัน" ในศักราชนี้จะช่วยเตือนสติทั้งพ่อแม่ให้ดำเนินชีวิตตามหลักทางสายกลาง และแก้ปัญหาได้ตรงจุดค่ะภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 /ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7