ภายในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง หลังสิ้นเสียงนกหวีดยาวจาก เฟลิกซ์ ซเวเยอร์ ผู้ตัดสินชาวเยอรมนีที่ลงทำหน้าที่ในศึก UCL รอบ 16 ทีมสุดท้าย เกมที่ ยูเวนตุส เฉือนเอาชนะ โอลิมปิก ลียง 2 - 1 แต่ไม่เพียงพอที่จะส่งให้ทีมแชมป์เซเรีย อา 9 สมัยติดต่อกันผ่านเข้าสู่รอบต่อไป นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายขึ้นกับสโมสร บอร์ดบริหารของทีมนำโดย อันเดรีย อัญเญลลี่ ประธานสโมสรมีการเรียกทีมบริหารประชุมด่วน และตัดสินใจปลด เมาริซิโอ ซาร์รี่ ผู้จัดการทีมออกจากตำแหน่งทันที พร้อมทั้งมีกระแสข่าวลือต่างๆ นานา ในการเฟ้นหาผู้จัดการทีมคนใหม่ และสุดท้าย อันเดรีย ปีร์โล่ อดีตมิดฟิลด์ผู้พาทีมคว้าแชมป์ 4 สมัยติดต่อกัน ก็ได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ของ ยูเวนตุส แบบที่ไม่มีใครคาดคิด แฟนบอลบางคนอาจสงสัยว่า ซาร์รี่ ที่เพิ่งพาทีมได้แชมป์ลีกสูงสุดของอิตาลีเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กลับถูกไล่ออกจากตำแหน่งเพียงเพราะพาทีมตกรอบถ้วยใบใหญ่ของยุโรป มันดูใจร้ายสำหรับเขาเกินไปหรือเปล่า แต่หากมองลึกลงไปถึงรายละเอียดของฟอร์มการเล่นทั้งฤดูกาลแล้ว น่าจะทำให้เข้าใจการตัดสินใจของบอร์ดบริหารของ ยูเวนตุส มากขึ้นก็ได้ แม้ในฤดูกาล 2019 - 2020 ยูเว่จะยังทำได้ตามเป้าหมายในลีก คือการป้องกันแชมป์เอาไว้ได้เป็นสมัยที่ 9 ติดต่อกัน แต่ด้วยผลงานที่ออกมา ถือเป็นฤดูกาลที่พวกเขาเล่นได้ย่ำแย่ที่สุดใน 9 ปีหลังสุดเลยทีเดียว พวกเขาแพ้มากที่สุดใน 9 ฤดูกาลที่เป็นแชมป์ ด้วยจำนวน 7 นัด เสียประตูมากที่สุดด้วยจำนวน 43 ประตู ทั้งๆ ที่ทุ่มเงินกว่า 130 ล้านยูโร ในการเสริมเกมรับด้วยการคว้าตัว เดอ ลิกต์, เดมิรัล และ ดานิโล่ มาตอนต้นฤดูกาลด้วยซ้ำ มีประตูได้เสียเพียงบวก 33 ประตู น้อยที่สุดใน 9 ปีที่ได้แชมป์ ได้แต้มน้อยที่สุดเพียง 83 คะแนน และที่สำคัญคือมีแต้มเหนือกว่าอันดับ 2 เพียงคะแนนเดียว ไม่เคยมีฤดูกาลใดที่รองแชมป์ทำแต้มบดพวกเขาได้ขนาดนี้มาก่อน ปีแรกของ อันโตนิโอ คอนเต้ เขาพา ยูเวนตุส คว้าแชมป์แบบไร้พ่ายตลอด 38 นัดที่ลงเล่น และเสียไปเพียง 20 ประตูเท่านั้น ปีแรกของ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี เขาพาทีมม้าลายได้แชมป์แบบทิ้งรองแชมป์ขาดลอยถึง 17 คะแนน พ่วงด้วยแชมป์โคปปา อิตาเลีย และรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ปีแรกของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ กับยอดทีมของเมืองตูริน นอกจากการเป็นแชมป์ลีกแบบฟอร์มการเล่นที่ไม่ชวนดูแล้ว บอลถ้วยทั้ง 2 รายการเขาก็ยังพาทีมพบกับความผิดหวังอีกด้วย ฉะนั้นการที่บอร์ดบริหารตัดสินใจปลดเขาออกจากตำแหน่งจึงไม่ใช่เรื่องที่เกินความคาดหมายของแฟนบอลม้าลายแต่อย่างใด การเลือกเขามารับตำแหน่งเมื่อต้นฤดูกาลต่างหากคือสิ่งที่เหนือความคาดหมาย หลังการลงจากตำแหน่งของ ซาร์รี่ ทั้งสื่อและแฟนบอลต่างคาดเดาถึงกุนซือคนใหม่ของทีมม้าลาย ชื่อของ เมาริซิโอ โปเชตติโน่, ซีเนอดีน ซีดาน, ซิโมเน่ อินซากี้ รวมทั้งอดีตกุนซือของทีมอย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ และ มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี ต่างถูกเชื่อมโยงว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นหัวม้าลายคนใหม่ แต่เวลาผ่านไปเพียง 5 ชั่วโมง ทุกสื่อโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการของสโมสรก็ประกาศว่า อันเดรีย ปีร์โล่ โค้ชของทีมชุด U23 ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งนี้เมื่อ 9 วันก่อน ได้รับความไว้วางใจให้ขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีมชุดใหญ่คนใหม่ โดยเซ็นสัญญาคุมทีมถึงเดือนมิถุนายน 2022 นั่นทำให้แฟนบอลของ ยูเวนตุส เกิดความคิดเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกเกิดความหวั่นวิตกว่าทำไมบอร์ดของทีมถึงกล้าให้โค้ชที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการคุมทีมลงเล่นแม้แต่วินาทีเดียว ก้าวขึ้นมารับเผือกร้อนในงานที่ใหญ่และยากขนาดนี้ เพราะหากเทียบกับเคสของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ ซีเนอดีน ซีดาน ที่ทั้ง บาร์เซโลน่า และ รีล มาดริด กล้าตัดสินใจให้ทั้ง 2 คนขึ้นมาคุมทีมจนสามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่ ก็ต้องไม่ลืมว่าทั้ง เป๊ป และ ซีดาน ต่างมีประสบการณ์ในการคุมทีมชุดเยาวชนของสโมสรมาก่อน ทั้งสองคนต่างวางรากฐานให้กับเหล่าดาวรุ่งของทีม และได้รับความเคารพอย่างสูงจากนักเตะในทีม นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้พวกเขาพาทีมประสบความสำเร็จ แต่กับ ปีร์โล่ ที่ไม่มีประสบการณ์ในด้านโค้ชเลย อะไรทำให้บอร์ดยูเว่ที่หวังถึงแชมป์ UCL เลือกที่จะมอบตำแหน่งนี้ให้ ด้านฝ่ายที่เห็นด้วยกับการที่ทีมเลือก ปีร์โล่ มารับงานคุมทีม ให้เหตุผลว่า แม้เจ้าตัวจะยังไม่เคยคุมทีมเลยก็ตาม แต่ในช่วงหลังจากที่เขาเลิกเล่น งานทางด้านโค้ชก็เป็นสิ่งที่ ปีร์โล่ ถวิลหา เขาเข้าอบรมหลักสูตรโค้ชอาชีพ เอ ไลเซนส์ จาก FIGC (สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี) เมื่อเดือนมิถุนายน 2018 โดยใช้เวลาไม่ถึง 4 เดือนก็ผ่านหลักสูตรมาได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นในเดือนสิงหาคม 2019 ปีร์โล่ เข้าอบรมหลักสูตรยูฟ่า โปร ไลเซนส์ ที่โคแวร์ชาโน่ โดยโค้ชที่จบหลักสูตรนี้ถึงมีสิทธิในการคุมทีมลงเล่นในรายการของยูฟ่า อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูโรปา ลีก และซูเปอร์ คัพ และเขาก็ใช้เวลากว่า 9 เดือนผ่านหลักสูตรนี้มาได้ จนได้รับการแต่งตั้งให้มาคุมทีม U23 ของทีมม้าลายเมื่อปลายเดือนก่อนนั่นเอง ฉายาของ ปีร์โล่ ในช่วงค้าแข้งมีมากมายไม่ว่าจะเป็น l’architetto (The Architect), il professore (The Professor), Maestro (The Master) หรือ Mozart นั่นบ่งบอกถึงคุณลักษณะการเล่น ทั้งฝีเท้าและมันสมองของเขาได้เป็นอย่างดี อย่าลืมว่าในปีแรกที่เขาย้ายมาเล่นให้กับ ยูเวนตุส เขาพาทีมที่เพิ่งจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 ก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์แบบไร้พ่ายได้อย่างยอดเยี่ยม รวมทั้งเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ทีมกลับมายิ่งใหญ่คับอิตาลีอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และหากแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คือเป้าหมายสำคัญของทีม แต่กุนซือที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีมืออย่าง คอนเต้, อัลเลกรี หรือ ซาร์รี่ ยังไม่ตอบโจทย์ การลองเลือกอะไรใหม่ๆ เพื่อสร้างแพชชั่นให้กับทีม อาจเป็นทางเลือกที่บอร์ดมองข้ามมาตลอดในช่วงเกือบ ทศวรรษก็เป็นได้ มิเกล อาร์เตต้า เพิ่งพา อาร์เซน่อล คว้าแชมป์เอฟเอคัพ ซึ่งถือเป็นแชมป์แรกในชีวิตการเป็นผู้จัดการทีมของเขา โดยก่อนหน้านั้นเขาเรียนรู้วิชามาจาก เป๊ป กวาดิโอลาร์ นานกว่า 3 ปี แล้วสำหรับ ปีร์โล่ หากลองไล่รายชื่อโค้ชที่เคยทำหน้าที่ฝึกสอนเขามาตลอดอาชีพการค้าแข้ง ไม่ว่าจะเป็น คาร์โล มาสโซเน่, คาร์โล อันเชลอตติ, โจวานนี่ ตราปัตโตนี่, มาร์เชโล่ ลิปปี้, มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี รวมถึง อันโตนิโอ คอนเต้ นั่นทำให้เชื่อว่า ปีร์โล่ น่าจะได้วิชามาจากกุนซือฝีมือระดับพระกาฬเหล่านี้ไม่มากก็น้อย แม้จะยังไม่มีใครให้คำตอบได้ว่าการแต่งตั้ง อันเดรีย ปีร์โล่ ขึ้นมาคุมทีม ยูเวนตุส จะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของบอร์ดบริหารหรือไม่จนกว่าผลลัพธ์ในฤดูกาลหน้าจะออกมา แต่สิ่งที่ ปีร์โล่ เริ่มลงมือทำแล้วคือการเปลี่ยนแปลงทีมที่เล่นได้อย่างไร้ประสิทธิภาพและน่าเบื่อในฤดูกาลที่เพิ่งผ่านพ้นไป ให้กลับมามีชีวิตชีวาและดุดันอย่างที่เขาเคยลงเล่นเป็นจอมทัพให้กับทีมอีกครั้ง มีการคาดการณ์ว่า ยูเวนตุส ในฤดูกาล 2020 - 21 ของ ปีร์โล่ จะยังลงเล่นในระบบ 4 - 3 - 3 เหมือนทีมของ ซาร์รี่ แต่รูปแบบการเล่น การยืนตำแหน่งของนักเตะภายในทีมจะแตกต่างออกไปอย่างแน่นอน และตอนนี้เขาก็เริ่มเข้าสู่ตลาดซื้อขายผู้เล่นแล้ว นักเตะที่เล่นได้ไม่เหมาะสมกับยูนิฟอร์มของทีมจะถูกปล่อยตัวออกไป และนักเตะใหม่ที่เขามองว่าจะเข้ามายกระดับการเล่นให้กับทีม ไม่ว่าจะมีราคาเท่าใดก็ต้องคว้ามาให้ได้ นี่คือสิ่งแรกที่แฟนบอลทีมม้าลายต่างจับตามอง ย้อนไปในปี 2006 ที่ทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 นักเตะอย่าง อันเดรีย ปีร์โล่, เจนนาโร่ กัตตูโซ่, ฟิลิปโป้ อินซากี้ และ อเลสซานโดร เนสต้า ต่างเป็นกำลังสำคัญในทีมชุดนั้น โดยเฉพาะ ปีร์โล่ ที่คว้าตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ไปได้ทั้งในรอบรองฯ และรอบชิงชนะเลิศ และในกัลโช่ เซเรีย อา ฤดูกาลหน้า อดีตนักเตะของ เอซี มิลาน ทั้ง 4 คน ก็อาจได้วัดฝีมือกันในบทบาทใหม่อย่างการคุมทีม (หาก เนสต้า พา โฟรซิโนเน่ คว้าแชมป์เพลย์ออฟเลื่อนชั้นได้สำเร็จ) น่าติดตามว่าฝีไม้ลายมือของแต่ละคนจะยอดเยี่ยมดั่งตอนที่พวกเขาวาดลวดลายในสนามหรือไม่ ขอขอบคุณ เครดิตภาพปกจาก : https://www.juventus.com/ เครดิตภาพจาก sport.trueid.net : ภาพที่ 1 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5 juventus.com : ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3