การแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การใช้ชีวิตของคนไทยและคนทั่วโลกมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นับตั้งแต่ปลายปี 2562 รัฐบาลแต่ละประเทศ เลือกวิธีการรับมือกับโรคร้ายในลักษณะที่แตกต่างกัน เพราะมีกฎหมาย และระบบสาธารณะสุขที่แตกต่างกัน เราจึงได้เห็นวิธีรับมือกับโรคร้ายนี้ ทั้งในแบบ “เปิดประเทศ” และ “ปิดประเทศ” สำหรับประเทศไทยนั้นเลือกในระบบ “ปิดประเทศ” มีการประกาศ "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" เพื่อล็อกดาวน์ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม - ถึงวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563 และในเดือนพฤษภาคม เริ่มมีการคลายล็อกดาวน์ธุรกิจต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจร้านทำผม ซึ่งผู้เขียนได้ รีวิวร้านตัดผม :: “บังลิค ฮิปสเตอร์” กับก้าวแรกของร้าน “Hipster Barber Shop” 9 สาขาหลังปลดล็อกดาวน์ ถึงเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นเอาไว้ด้วย เพื่อให้เห็นถึงผลกระทบ และการแก้ปัญหาของเจ้าของกิจการ ช่วงเวลาที่มีการล็อกดาวน์ประเทศนั้น แน่นอนว่าส่งให้เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างหนักสำหรับคนในประเทศ แต่ทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ต่างหาวิธีช่วยเหลือประชาชนให้ปัญหาที่ประสบอยู่ผ่อนคลายลง ด้วยโครงการต่าง ๆ อาทิ เราไม่ทิ้งกัน , เยียวยาเกษตรกร ซึ่งเป็นมาตราการเยียวยาประชาชน และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ขณะที่ธนาคารต่าง ๆ ออกมาประกาศปรับลดดอกเบี้ย ฯลฯ แต่ปัญหาที่มากกว่านั้นก็คือการขาดแคลนอาหารในแต่ละวันของผู้ที่มีรายได้น้อย คนไทยด้วยกันได้ออกมาแบ่งปันอาหารให้กับผู้ที่ยากไร้ กระทั่งล่าสุดที่เกิดโครงการ “ตู้ปันสุข” เกิดขึ้น สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งทำหน้าที่รับผิดชอบการดูแลรักษา ไวรัสโควิด-19 โดยตรง ก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี แต่สิ่งที่เป็นคำถามต่อมาของประชาชนก็คือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลจะประกาศยกเลิก "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐบาลตัดสินใจวางแผนที่จะต่ออายุ "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" ทั้ง ๆ ที่จำนวนผู้ติดเชื้อเหลือไม่ถึงหลักสิบ ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนเกิดความสงสัยว่าทำไมรัฐบาลตัดสินใจอย่างนี้ ในมุมมองเล็ก ๆ ของผู้เขียน เชื่อว่ารัฐบาลกำลังมองจากสถานการณ์ทั่วโลกที่มีการกลับมาแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 อีกครั้งและรุนแรงกว่าเดิม การผ่อนปรนทุกอย่างเร็วเกินไป อาจทำให้ประเทศไทยเจอกับเหตุการณ์ไม่ต่างจากทั่วโลก จึงเลือกต่ออายุ "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" ออกไปก่อน แม้ว่าผู้ติดเชื้อจะน้อยลงก็ตาม ซึ่งการตัดสินใจนี้ เป็นการตัดสินใจที่รอบคอบ เพราะปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนที่สามารถรักษาไวรัสโควิด-19 จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลว่าหากว่าการแพร่ระบาดของเชื้อหนักขึ้น เกิดโรคระบาดซ้ำจะเกิดความสูญเสียมากกว่าเดิม ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นของการแก้ปัญหา รัฐบาลใช้วิธีล็อคดาวน์ จึงต้องแก้ไขไปในทิศทางเดิมที่ได้ผลมาแล้ว ในช่วงสถานการณ์ ไวรัสโควิด-19 กำลังระบาดนั้น หลาย ๆ ประเทศ เลือกที่จะไม่ล็อกดาวน์ภายในประเทศ ก็เพราะการมองสถานการณ์ของโรคที่แตกต่างกันไป ผู้เขียนมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่เป็นคนไทยในประเทศสวีเดน ซึ่งได้ เล่าถึงสถานการณ์ในประเทศว่า ประเทศสวีเดนนั้น รัฐบาลประเมินสถานการณ์แล้วว่า ผู้ที่เสียชีวิตจาก ไวรัสโควิด-19 คือผู้สูงอายุเป็นส่วนใหญ่ รัฐบาลจึงดูแลคนกลุ่มนี้มากเป็นพิเศษ ในขณะที่คนอายุช่วงวัยอื่น ๆ ยังคงใช้ชีวิตปกติได้ เพราะสุขภาพแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันที่ดี ในประเทศจึงไม่มีการประกาศปิดโรงเรียน ไม่ประกาศปิดสถานบริการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจของประชาชน สิ่งสำคัญคือการระวังป้องกัน และให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับเรื่องสุขอนามัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวิธีการนั้นใช้ได้ดีกับประเทศที่เขาอยู่ การที่รัฐบาลมีแผนที่จะต่ออายุ "พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" ทำให้เริ่มมีคำถามในสังคมเกิดขึ้นว่า "สุขภาพ" vs "เศรษฐกิจ" อย่างไหนที่มีความสำคัญมากกว่ากัน เราควรจะเลือกอะไร โดยส่วนตัวของผู้เขียนเชื่อว่าสุขภาพสำคัญกว่า เพราะถ้าเราสุขภาพไม่ดี มีความเจ็บป่วยอยู่และสถานการณ์โควิดยังไม่จบ เราก็ไม่สามารถออกไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันเป็นปกติได้ ถ้าสุขภาพเราดี ไวรัสโควิด-19 หายไปแล้ว หรือมีวัคซีนรักษาได้แล้ว ในที่สุดเศรษฐกิจดี ๆ ก็จะกลับมาเอง ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำก็คือ วันนี้ ไวรัสโควิด-19 ยังไม่ได้จากเราไปไหน แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นมากแล้ว เราต้องอดทนกันอีกสักระยะ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆไปกับการใช้ชีวิต สิ่งสำคัญก็คือ เมื่อรัฐบาลประกาศปลดล็อคดาวน์ที่ไหน ก็จะต้องทำตามกฎข้อบังคับต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อประเทศไทยจะได้ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของ ไวรัสโควิด-19 อย่างแท้จริง ขอบคุณภาพประกอบจาก ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4