ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา ช่างเป็นถ้อยคำที่กินใจและจับใจเหลือเกินกับบางตอนจากกลอนนิทานเรื่อง "พระอภัยมณี" ผลงานการประพันธ์ของพระสุนทรโวหาร (ภู่) หรือ "สุนทรภู่" กวีเอกของไทยที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกในด้านวรรณกรรม เนื่องในโอกาสครบรอบ 200 ปีแห่งชาตกาลของท่านเมื่อปี พ.ศ. 2529 และต่อมาในปี พ.ศ. 2530 รัฐบาลไทยก็ยังได้ประกาศให้วันคล้ายวันเกิดของท่านคือ 26 มิถุนายน ของทุกปีเป็น "วันสุนทรภู่" อีกด้วย ในโอกาสรำลึกถึงสุนทรภู่ กวีเอกของไทย สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการอ่านกลอน ท่องกลอน แต่ยังแต่งกลอนไม่เป็น ผู้เขียนขออาสาอธิบายความหมายของ "กลอน" และสอนวิธีแต่งกลอนให้ดังต่อไปนี้ค่ะ กลอน คือ คำประพันธ์ภาษาไทยที่เรียบเรียงเข้าเป็นคณะ ใช้ถ้อยคำและทำนองเรียบๆ มีข้อบังคับเรื่องคำสัมผัสนอก และเสียงวรรณยุกต์ กลอนมีหลายประเภท แต่ที่เป็นหลักสำหรับกลอนทุกประเภทก็คือ กลอนสุภาพ หมายถึงเป็นคำประพันธ์ที่มีลักษณะไทยแท้ แยกออกเป็นกลอนหก กลอนเจ็ด กลอนแปด กลอนเก้า ตามจำนวนคำในแต่ละวรรค เมื่อศึกษาจนเข้าใจกลอนสุภาพดีแล้ว ก็จะสามารถต่อยอดไปเรียนรู้กลอนประเภทอื่นๆ ได้ไม่ยาก การที่จะแต่งกลอนได้นั้น เบื้องต้นคือ ต้องเป็นผู้ที่รักภาษาไทย สนใจการอ่าน และทำความเข้าใจคำศัพท์ เพื่อมี "คลังคำ" เก็บไว้ให้เลือกใช้มากๆ ต่อจากนั้นคือ รู้จักแผนผังหรือโครงสร้างของกลอนเสียก่อน ในหลักภาษาไทยเรียกว่า ฉันทลักษณ์ สำหรับมือใหม่หัดแต่งกลอน ผู้เขียนแนะนำให้เริ่มต้นที่ "กลอนหก" เพราะว่าใช้คำน้อยที่สุดเพียงหกคำต่อหนึ่งวรรคเมื่อเทียบกับกลอนชนิดอื่น โดยศึกษาผังกลอนหกดังที่แสดงไว้ในภาพวาดแล้วค่ะ กลอนแทบทุกประเภทรวมทั้งกลอนหกมีเนื้อความ 4 วรรค ประกอบด้วย วรรคสดับ วรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง เรียงตามลำดับดังที่แสดงไว้ในภาพประกอบ สำหรับกลอนหก แต่ละวรรคประกอบด้วยคำ 6 คำ ซึ่งแทนด้วยสัญลักษณ์ทรงกลมคล้ายเลขศูนย์ โดยจะมีคำสัมผัสนอกที่บังคับไว้ระหว่างวรรคต่างๆ ตามเส้นทึบที่โยงไป ส่วนเส้นประคือ ตำแหน่งคำที่อนุโลมให้ใช้แทนกัน คำสัมผัสนอก หมายถึงคำที่มีการใช้สระเสียงเดียวกัน เช่น หม่น-ทน (สระโอะลดรูป), พี่-ดี-ชีวี (สระอี), นั่น-สั่น (สระอะ เปลี่ยนรูป), โหย-โปรย-โชย (สระโอ) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการบังคับเสียงวรรณยุกต์ของคำสุดท้ายในแต่ละวรรคด้วย ได้แก่ วรรคสดับ ลงท้ายด้วยคำที่มีเสียงใดก็ได้ แต่ไม่นิยมเสียงสามัญ วรรครับ ลงท้ายด้วยคำที่มีเสียงเอก โท หรือจัตวา ห้ามเสียงสามัญและ เสียงตรี วรรครอง ลงท้ายด้วยคำที่มีเสียงสามัญ หรือเสียงตรี ห้ามเสียงเอก โท และจัตวา วรรคส่ง (เหมือนวรรครอง) มีคำแนะนำเพิ่มเติมว่า เพื่อความไพเราะยิ่งขึ้น ให้ใช้คำสัมผัสใน หมายถึงคำที่มีเสียงสระหรือมีเสียงพยัญชนะเป็นเสียงเดียวกัน เมื่ออ่านออกเสียงจะเกิดความคล้องจอง โดยวางไว้ที่ตำแหน่งใกล้กันภายในแต่ละวรรค ดังตัวอย่างที่ยกมาแสดงในภาพ ก่อนเขียนกลอน ผู้แต่งต้องคิดแก่นเรื่องก่อนว่าเป็นเรื่องอะไร เช่น ความเจ็บปวดจากความเหงา แล้วตั้งเป้าหมายว่าจะเขียนกี่บท จากนั้นจึงมาย่อยเนื้อหาในแต่ละบทว่าจะบรรยายถึงประเด็นใด มีข้อควรระวังคือ เลี่ยงใช้คำซ้ำระหว่างวรรค และเลี่ยงใช้ตัวสะกดแม่ กก กด และกบ ในคำสุดท้ายของวรรครับ วรรครอง และวรรคส่ง เพื่อมิให้สับสนหรือหลงเสียงวรรณยุกต์ วันนี้ ผู้เขียนมีตัวอย่างกลอนหกมาฝากดังต่อไปนี้ค่ะ ดาวเดือนเลือนลาฟ้าหม่น ทุกข์ทนหมองไหม้ใจพี่ ขาดคนสนใจไยดี ชีวีอ่อนล้าราโรย ทิวาลาไกลไฉนนั่น อกสั่นขวัญแล้งแห้งโหย เพียงหยาดน้ำค้างพร่างโปรย ลมโชยหนาวเหน็บเจ็บทรวง รอบแรกนี้ ขอแนะนำให้เพื่อนๆ นักกลอนน้องใหม่ทดลองเขียนกลอนหกจากเรื่องง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ปรับเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้นตามทักษะของผู้แต่ง และเมื่อแต่งกลอนหกได้แล้ว ต่อไปก็พัฒนาเป็นกลอนที่่มีเนื้อความมากขึ้นคือ กลอนเจ็ด กลอนแปด และกลอนเก้านะคะ นักกลอนน้องใหม่สู้ สู้ค่ะ ! (ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน)