ในสังคมปัจจุบันนี้ ในยุคแห่งความเร่งรีบ คนในสังคมเราพยายามหาสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจจะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการหาช่องทางบรรเทาความเครียดด้วยการท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ต บางรายอาจจะหาเวลาไปออกกำลังกาย หรือทำงานอดิเรก ใช้เวลาในการท่องเที่ยว และส่วนหนึ่งที่หาที่พักใจโดยการพึ่งพิงศาสนาซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวไทยมาแต่โบราณกาล ยิ่งในปัจจุบันที่โลกเราประสบปัญหาโรคระบาดอยู่ในขณะนี้ การจะเดินทางออกไปท่องเที่ยวคงไม่ใช่ช่องทางในการผ่อนคลายความเครียดที่สะดวกนัก ดังนั้นการใช้เวลาว่างของคนในยุค New Normal นี้ จึงมักเป็นกิจกรรมที่อยู่ในอาคารบ้านเรือนเสียเป็นส่วนใหญ่ การท่องเที่ยวในอินเตอร์เน็ต การเสพสื่อโซเชียลจึงเป็นกิจกรรมที่กินพื้นที่เวลาในชีวิตของเราไปมากพอสมควร ข่าวสารส่วนมากที่เป็นที่นิยมกันก็มักจะเป็นข่าวร้ายซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดได้เท่าไรนัก ดังนั้นเจ้าของบทความคิดว่าเราควรจะหาสิ่งที่เป็นบวก สร้างความสงบทางจิตใจมากกว่านำพาขยะทางความรู้สึกมาทับถมตนเอง หลักการศาสนาของประเทศไทยเราก็มีอยู่หลากหลายศาสนา ซึ่งศาสนาหลักๆก็จะสอนให้ผู้ปฏิบัติมีความเมตตากรุณา ซึ่งเป็นหลักสำคัญในการอยู่ร่วมกันในความแตกต่างหลากหลายภายในสังคม และสิ่งที่ผู้เขียนบทความอยากจะมาแนะนำในการผ่อนคลายจิตใจของเราในครั้งนี้คือการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนานั้นเองผู้เขียนได้เริ่มมาสนใจในการสวดมนต์ในพระพุทธศาสนาก็จากงานพระราชพิธีสวดมนต์บำเพ็ญพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งในรายการเขาจะบอกคุณประโยชน์จากการสวดมนต์มากมาย แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มปฏิบัติเสียที จนกระทั่งดูรายการเกี่ยวกับศาสตร์ลึกลับหลายรายการ ซึ่งผู้ดำเนินรายการมักจะเป็นผู้ที่มีสัมผัสพิเศษซึ่งบุคคลธรรมดาไม่สามารถสัมผัสได้เช่นเดียวกับพวกเขา ทุกคนต่างก็แนะนำให้สวดมนต์นั่งสมาธิ เป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งสิ่งที่เขาแนะนำเหล่านี้ไม่จำเป็นจะต้องใช้สตางค์เลย จึงเชื่อได้ว่าเขาแนะนำจากน้ำใสใจจริง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสวดมนต์ของผู้เขียนบทความจนถึงวันนี้ซึ่งจากประสบการณ์สวดมนต์ได้ประมาณ1 ปี สิ่งที่ผู้เขียนบทความได้รับจากการฝึกสวดมนต์ก็คือ ความสงบ การมีสมาธิในขณะสวด และการตระหนักถึงความมหัศจรรย์ของสมองมนุษย์ที่สามารถจำบทสวดยาวๆได้แม้ไม่รู้จักภาษา และนั่นก็ทำให้ผู้เขียนบทความอยากจะทำความรู้จักกับความหมายของบทสวดต่างๆให้มากยิ่งขึ้นจึงได้มาซึ่งหนังสือที่ผู้เขียนจะแนะนำให้ท่านทั้งหลายไปหามาอ่านหรือซื้อมาติดบ้านไว้เล่มนี้นั่นเองหนังสือมนต์พิธีแปล รวบรวมโดย พระครูอรุณธรรมรังษี ( พระครูสมุห์เอี่ยม สิริวณฺโณ ) ต้นตำรับหนังสือมนต์พิธี วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร ลิขสิทธิ์ของ นายมณฑน์จิตต์เกษม จงพิพัฒน์ยิ่ง สำนักพิมพ์เลี่ยงเชียง เพียรเพื่อพุทธศาสน์ สิ่งที่ผู้เขียนประทับใจตั้งแต่เริ่มต้นจากหน้าแรกๆเลยคือความกตัญญูกตเวทีของผู้บริหารสำนักพิมพ์ที่มีต่อพระพุทธศาสนาที่ช่วยสร้างอาชีพความเป็นอยู่ที่มั่นคงจนถึงทุกวันนี้ ต่อพระครูอรุณธรรมรังษีผู้รวบรวมเนื้อหาในเล่ม ต้นตำรับหนังสือมนต์พิธี และบรรพบุรุษที่สร้างสำนักพิมพ์นี้ให้มีอายุยาวนานมาถึงร้อยกว่าปี ทำให้จิตของผู้เขียนบทความเป็นกุศลตั้งแต่เริ่มอ่านหนังสือเลยทีเดียว เนื้อหาภายในหนังสือก็จะประกอบด้วยบทสวดมนต์พิธีทั้งของสงฆ์และของฆราวาส พร้อมคำแปล และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในทางพุทธศาสนา อาทิเช่น พระประจำวันเกิด สีประจำวัน ฤกษ์ผานาทีต่างๆ คำกลอนสอนใจ คำอธิษฐาน คำขอขมา บทระลึกคุณ บทสรรเสริญคุณ บทกลอนธรรมภาษิตเริ่มต้นหนังสือจะแนะนำการพิจารณาบทสวดมนต์ เทคนิคการสวดมนต์ให้ได้อานิสงส์มาก และประโยชน์ที่จะได้รับจากการสวดมนต์ แนะนำประวัติของผู้จัดพิมพ์ และวิธีการอ่านออกเสียงที่ถูกต้องพอเข้าถึงส่วนที่เป็นบทสวด ตั้งแต่ทำวัตรเช้า หนังสือก็จะบอก ถึงการดำเนินการของผู้ร่วมทำพิธีในวงเล็บเล็กๆ ส่วนที่เป็นบทสวดก็จะมีขนาดใหญ่แล้วตัวพิมพ์หนา ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างบรรทัดที่เป็นบทสวดและคำแปล มีการเว้นระยะห่าง ย่อหน้า ช่องไฟ ลักษณะตัวอักษรที่ทำให้อ่านง่ายมาก เป็นการจัดรูปแบบที่ดีมากในความคิดเห็นของผู้เขียนบทความนี้ รู้สึกว่าฝ่ายศิลป์พยายามออกแบบการนำเสนอไม่ให้เป็นอุปสรรคในการอ่านของผู้อ่านที่สายตาไม่ค่อยดีหรือผู้สูงอายุ ด้วยเนื้อหาจำนวน 350 หน้า แน่นด้วยบทสวดมนต์พิธีทั้งของสงฆ์และฆราวาส เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับติดไว้ที่บ้าน หรือมุมต่างๆในสถานที่ทำงาน หรือห้างร้านต่างๆให้แขกผู้เข้ามาใช้บริการได้มีตัวเลือกในการอ่านระหว่างรอก็เป็นบุญกุศลให้แก่เจ้าของกิจการได้อีกทางหนึ่ง เพราะการให้ธรรมะคือการให้ทานอันประเสริฐสุดท้ายนี้ผู้เขียนบทความอยากจะเป็นกำลังใจให้แก่ท่านที่ยังไม่ได้เริ่มต้นแต่มีความสนใจที่จะศึกษาธรรมะและสวดมนต์ ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์เริ่มทำวันละเล็กละน้อย ก็จะค่อยๆเพิ่มพูนขึ้นมาเอง จากนั้นเราจะเกิดความภาคภูมิใจในสิ่งที่เราทำได้ แล้วจะค่อยๆพัฒนาตนเองมากยิ่งขึ้นๆ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรารู้สึกซึ้งกับความสามารถของมนุษย์ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นภพภูมิเดียวที่สามารถพัฒนาจิตให้เข้าถึงพระนิพพานได้ แล้วเราเชื่อว่าคนที่เกิดบนแผ่นดินนี้มีภูมิทางพุทธศาสนาทุกคน จะต้องมีคนที่เรียนรู้ใหม่แต่ได้มุมมองที่ลึกซึ้งกว่าผู้เขียนบทความนี้อยู่มากมายแน่ๆ **ที่มาของภาพประกอบ ภาพที่ 1 เป็นผลงานของเจ้าของบทความภาพหน้าปก,ภาพที่2,ภาพที่3 เป็นภาพถ่ายจากปกหน้าและปกหลังหนังสือ "มนต์พิธีแปล"ภาพที่4 เป็นภาพถ่ายจากสันหนังสือในหนังสือ "มนต์พิธีแปล" เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !