ความเชื่อมีอยู่ในทั่วทั้งสังคมโลกและมีมาแล้วนับพัน ๆ ปี โดยเริ่มแรกมนุษย์มีความเชื่อทางปรากฏการณ์ทางธรรมชาติในเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ฝนตก ฟ้าร้อง พายุ แผ่นดินไหว หรือแม้แต่กลางวันกลางคืน สิ่งที่เป็นรูปธรรมเหล่านี้ในอดีตต่างเป็นความเชื่อทั้งสิ้น ด้วยเหตุที่ว่าในสมัยก่อนวิทยาการของมนุษย์ไม่ก้าวหน้าเพียงพอที่จะพิสูจน์สิ่งที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการทางธรรมชาติเหล่านี้ จึงทำให้มนุษย์คิดว่ามีสิ่งที่มีอำนาจอยู่เหนือตนอยู่เบื้องหลังและเป็นสาเหตุสร้างปรากฏการณ์เหล่านี้ขึ้น นั้นหมายถึงเทพเจ้า สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานเริ่มแรกที่มนุษย์ผูกพันกับสิ่งที่มองไม่เห็น เรื่องของความเชื่ออยู่ตั้งแต่ในระดับชนกลุ่มน้อยและในระดับชนกลุ่มใหญ่ที่นับถือศาสนาที่เชื่อว่ามีพระผู้สร้าง คือศาสนาแบบเทวนิยม (พระเจ้าคือสิ่งที่สูงสุด) การอธิฐานและการวอนขอต่อพระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญ ดังนั้นจึงมีการสวดมนต์วิงวอน เพื่อขอพรต่อพระผู้เป็นเจ้าให้ได้ในสิ่งที่ตนเองคาดหวัง แต่อีกบริบทหนึ่งของศาสนาที่ไม่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นโดยพระผู้สร้างและเน้นไปในทางพึ่งพาตนเองหรือการกระทำของตนเอง แนวทางศาสนานี้เรียกว่า อเทวนิยม (เทพเจ้ามีการเปลี่ยนแปลงได้และพระเจ้าไม่ใช่สิ่งสูงสุด) ก็ยังมีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์และหน้าที่ของเทพ และยังมีการสวดมนต์อยู่แต่สวดเพื่อทบทวนพระธรรมคำสอน เรื่องของการสวดมนต์ในระบบของทางศาสนาเป็นสิ่งที่ดี แต่มนต์ดำมาจากไหนเป็นอย่างไรยังก็ยังเป็นสิ่งที่ลึกลับอยู่ แต่ก็ยังมีแนวทางพอให้ได้ศึกษาอยู่ลองมาอ่านดูครับ ว่าสิ่งที่ผู้เขียนได้วิเคราะห์มีเหตุผลหรือไม่ ความคิดของมนุษย์มีทั้งดีและชั่วสิ่งเหล่านนี้มีอยู่ในจิตใจตลอดเวลา ส่วนหนึ่งในความไม่พอใจกันและกันนอกเหนือจากการตอบโต้ทางร่างกายการทำร้ายจิตใจถือเป็นบริบทหนึ่งในการมุ่งเป้าทำร้ายกันที่เห็นได้เด่นชัดที่สุดคือ "การสาปแช่ง" และการสาปแช่งอย่างเดียวยังไม่เพียงพอจึงเกิดพิธีกรรมเพื่อการสาปแช่งขึ้น หนึ่งในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสาปแช่งนั้นคือบทสวดหรือคาถา บทสวดหรือคำถาเหล่านี้เริ่มแรกเป็นภาษาท้องถิ่นที่มีความหมายในด้านลบมุ่งเป้าเพื่อทำลายศัตรู ประกอบกับสิ่งของต่างที่ต้องหามาประกอบพิธีตามความเชื่อในท้องถิ่นนั้น ๆ โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งของที่สื่อไปในทางอัปมงคลแทบทั้งสิ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เรียกว่ามนต์ดำ ต่อมาความเชื่อของพราหมณ์ฮินดูเข้ามา ซึ่งศาสนานี้นับถือคัมภีร์พระเวท พระเวทมี 4 คัมภีร์ คือ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และอรรถเวท โดยเฉพาะอรรถเวท ซึ่งเป็นบทฆ่าล้างทำรายศัตรู ทำให้เรื่องของมนต์ดำในสยามประเทศในสมัยโบราณมีความเข็มแข็งมากขึ้น เพราะเป็นความเชื่อที่พึ่งพาเทพผู้เป็นใหญ่ ด้วยเหตุนี้การใช้มนต์ดำจึงเป็นที่แพร่หลายและเพิ่มความศรัธทามากยิ่งขึ้นในสังคมสยามแต่การก่อน ปัจจุบันเรื่องของมนต์ดำในสังคมไทยก็ยังมีอยู่แต่ไม่ได้มีความแพร่หลายอย่างในสมัยโบราณ ซึ่งการมีอยู่ของมนต์ดำเหล่านี้จะอยู่ในระดับท้องถิ่นที่ห่างไกลจากตัวเมือง เพราะนอกเหนือในเรื่องของความศรัทธาแล้ว ในเรื่องของวัฒนธรรมและประเพณีจะต้องมีผู้สืบทอดที่ตายตัว (ไม่มีไม่ได้) อีกทั้งยังมีผู้สนใจรุ่นใหม่ ๆ จึงทำให้บริบทด้านมืดเหล่านี้ยังไม่หายไปจากสังคมท้องถิ่นของไทยภาพถ่ายโดย พงศธร อิ่มอุดม ผู้เขียนบทความ