สวัสดีค่ะทุกคน หลายคนช่วงนี้คงได้ยินข่าวคราวของประเทศภูฏานกันมาบ้าง ถึงแม้ว่าช่วงนี้การเมืองบ้านเขาจะวุ่นวายไปสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงภาพทิวเขา และสภาพอากาศแล้วละก็ หากถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยวภูฏานอีกสักครั้ง มีหรือจะปฏิเสธได้ลง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ประเทศภูฏานมาค่ะ สิ่งแรกที่ประทับใจเลย คือสภาพอากาศ อากาศที่ประเทศภูฏานเย็นสบาย เนื่องจากเป็นประเทศที่อยู่ติดแถบเทือกเขาหิมาลัย ระหว่างประเทศจีน - อินเดีย จนได้รับการขนานนามว่า “สวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย” และการได้มาของสมญานามนี้ก็ไม่ได้มากเกินจริงแต่อย่างใดเลยค่ะ โดยการเดินทางครั้งนั้น ผู้เขียนได้ไปทั้งหมด 3 เมือง คือ 1. เมืองทิมพู 2. เมืองพูนาคา และ 3. เมืองพาโร โดยเมืองแรกที่ไปคือเมืองทิมพู (เมืองหลวงของประเทศภูฏาน) สถานที่สำคัญ คือ อนุสรณ์สถานที่ซึ่งเป็นสถานที่ที่สร้างไว้ เพื่อถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ดอร์จิ วังชุก แต่ที่ประทับใจผู้เขียน คือ สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก นั้นได้ทรงนำพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 9 ไปประทับไว้ที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้อีกด้วยค่ะ เมืองที่สองคือ พูนาคา โดยผู้เขียนได้ไปที่ พูนาคาซอง ที่ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นป้อมปราการที่สวยที่สุดของประเทศภูฏานค่ะ และที่เป็น highlight ของทริปนี้คือ เมืองพาโร ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Tigernest หรือ วัดทักซังซึ่งตั้งอยู่บนผาสูงกว่า 900 เมตร ดังนั้นการที่จะขึ้นไปต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 -3 ชั่วโมง (สำหรับวัยที่ยังมีเรี่ยวแรงดีอยู่) พร้อมกับการเตรียมสภาพร่างกายและจิตใจด้วย เนื่องจากเมื่อถึงขึ้นที่สูงย่อมทำให้หายใจลำบาก เนื่่องจากปริมาณออกซิเจนลดน้อยลง แต่เมื่อพิจารณาผู้ร่วมทริปที่ไปด้วยกันนั้น ทุกคนก็ไม่ลดละความพยายาม แม้ว่าบางคนกางเกงจะเปื้อน หรือรองเท้าจะขาดไปบ้างจากการลื่นล้ม แต่ทุกคนก็ขึ้นไปถึง และวิวภาพข้างบนนั้นก็คุ้มค่ากับการพยายาม เพราะวิวข้างบนนั้นสวยมาก แต่มีเรื่องที่น่าเสียดายสักหน่อย คือ ภายในวัดทักซังนั้นห้ามถ่ายภาพ ผู้เขียนจึงต้องเก็บภาพไว้ในความทรงจำเท่านั้นค่ะ ดังนั้นหากผู้อ่านมีโอกาสที่จะได้ไปประเทศภูฏานสักครั้ง อาจจะตกหลุมรักประเทศเล็ก ๆ ประเทศนี้ ที่มีขนาดเพียงเท่ากับจังหวัดอุบลราชธานีของเรา แต่เป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนเท่ากับศูนย์ เหมือนกับผู้เขียนก็ได้ค่ะ ภาพทั้งหมดโดย : ผู้เขียน