ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันนั้นอิทธิที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมของมนุษย์อันดับหนึ่งเลยก็คือสื่อโซเชียลมีเดียหรือโซเชียลเน็ตเวิร์ก ซึ่งในยุคนี้เป็นยุคที่สื่อต่าง ๆ เหล่านี้สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายได้และสามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย โดยเรื่องของภาษานั้นก็ไม่สามารถคัดกรองได้เสมอไป เมื่อเราอยู่ในโลกที่เรียกว่า “โลกออนไลน์” ดังเช่นที่รายการ จั๊ด ซัดทุกความจริง ซึ่งเป็นรายการข่าวของช่องวัน ได้นำเสนอประเด็นข่าวที่ว่า “ภาษาไทย ใช้ผิดชีวิตเปลี่ยน” ดังที่พิธีกรรายการกล่าวนำก่อนเข้าสู่เนื้อหาว่า “...อย่างที่บอกไปครับว่า ถ้าใช้แชตกันในโปรแกรม Line, Whatapp, Messenger, พิมพ์กันใน Instragram, Facebook, Twitter แบบนี้ไม่ถือหรอก เข้าใจว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้มาก เพราะเราต้องยอมรับนะครับว่า ในสมัยนี้เนี่ย คนมีวิธีการสื่อสารโดยวิธีการเขียนกันทุก ๆ คน ถ้าเป็นแต่ก่อนล่ะก็ การที่คนจะเห็นทักษะในการเขียนของคุณมันน้อยมาก ถ้าคุณไม่เขียนจดหมายก็ไม่มี ยกเว้นว่าคุณเขียนข้อสอบหรือเขียนรายงานส่งอาจารย์ แต่ทุกวันนี้คุณต้องใช้ภาษาไทยสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องการเขียนมากมายหลายโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโลกโซเชี่ยลมีเดีย แน่นอนครับว่ายิ่งสื่อสารมาก ความผิดพลาดยิ่งเกิดขึ้น” (ธีมะ กาญจนไพริน, 2561) ภาพจาก : pixabay.com โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาการใช้ภาษาไทยที่เห็นได้ชัดเจน คือเริ่มต้นจากการพูดคุยบนสื่อโซเชี่ยลมีเดียต่าง ๆ ทำให้เกิดการสร้างสรรค์คำใหม่ ๆ เพื่อความรวดเร็วในการพิมพ์หรือเพื่ออรรถรสในการพูดคุย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นปัญหานี้มักจะใช้เฉพาะกลุ่มและอาจจะอยู่ได้ไม่นาน แต่ปัญหาจะลุกลามมากขึ้นเมื่อมีสื่อที่มีผู้ติดตามเยอะหรือมีอิทธิพลกับคนอื่น ๆ นำคำเหล่านี้ไปใช้ ทำให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ และคำเหล่านั้นได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นที่นิยมหรือเข้าใจตรงกันได้ในที่สุด และในประเด็นข่าวข้างต้นยังได้นำเสนอถึงเรื่องราวของการใช้ภาษาไทยที่ผิดพลาด ซึ่งเกิดขึ้นในตำราเรียนเล่มหนึ่ง ที่ออกโดยสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อพัฒนางานเลี้ยงและใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ และสำนักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ โดยนำมาใช้ในการสอน ถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ เนื่องจากตำราเรียนถือได้ว่าเป็นแหล่งความรู้ของผู้เรียนและผู้เผยแพร่หนังสือนั้นก็เป็นหน่วยงานราชการที่มีความน่าเชื่อถือ โดยในตำราเล่มนั้นมีการใช้คำผิด เช่น คำว่า หน๋อ, การใช้ คะ ค่ะ, จ๊ะ ซื่งปรากฏในหลายจุดของตำราเรียน แสดงให้เห็นว่านอกจากปัญหาการใช้ภาษาไทยนั้นในปัจจุบันไม่ได้มีแค่ในสื่อโซเชี่ยลมีเดีย กลุ่มวัยรุ่นหรือเยาวชนเพียงเท่านั้น แต่ลุกลามมาถึงตำราเรียนที่นำไปใช้สอนในระดับมหาวิทยาลัยถ้ามีการใช้คำผิดก็ไม่ควรปล่อยให้ผ่าน และได้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า มานะ มานี ปิติ ชูใจ ซึ่งเป็นผู้เผยแพร่เรื่องราวนี้ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “เป็นปัญหาใหญ่ลุกลามไปแล้วล่ะค่ะ หน่วยงานวิชาการระดับชาติก็ยังผิดพลาด ที่ปล่อยให้ตำราแบบนี้ออกมาเผยแพร่และใช้งานจริง น่าอนาถใจและน่าเสียใจ ก่อนจะไปว่าไปเตือนและแก้ไขเด็กรุ่นใหม่ใช้ภาษาไม่ถูกต้อง หน่วยงานราชการก็ควรจะตรวจสอบคนของท่าน เจ้าหน้าที่ของท่าน เอกสารตำราต่าง ๆ ของท่านว่าใช้คำได้ถูกต้องแล้วหรือยัง? นี่คือความวิบัติทางภาษาระดับชาติไปแล้วหรือนี่? – ตะขบ” ภาพถ่ายโดยนักเขียน จากคำพูดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าหน่วยงานราชการก็มีส่วนสำคัญที่ส่งผลทำให้เกิดปัญหาการใช้ภาษาไทยได้เช่นกัน ดังในรายการข่าวนี้ก็ได้ยกตัวอย่างของการใช้คำผิด เช่น ป้ายบอกชื่อสถานที่ที่เขียนว่า “สถานีตำรวจภธูร” ซึ่งคำที่ถูกต้องนั้นคือ “สถานีตำรวจภูธร” หรือป้ายบอกชื่ออำเภอที่เขียนว่า “อ.คีรีมาส”ซึ่งคำที่ถูกต้องคือ “คีรีมาศ” หน่วยงานราชการนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือที่สุด การที่หน่วยงานราชการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องอย่างเคร่งครัดถือเป็นตัวอย่างของการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง แต่ถ้าหน่วยงานราชการก็ยังใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้อง แล้วใครกันเล่าจะเชื่อถือกับการรณรงค์เรื่องการใช้ภาษาไทย ภาพจาก : pixabay.com เรื่องของปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของภาษานั้น ก็ยังคงมีอีกหลายปัจจัยทั้งใกล้และไกลตัว ซึ่งบางเรื่องเป็นเรื่องที่เราอาจจะคาดไม่ถึง โดยในเรื่องของปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของภาษานั้นก็ได้มีผู้ที่ออกมาพูดถึงเหตุผลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของบทสัมภาษณ์ ในหนังสือ ในข่าว หรือในรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ โดยในประเด็นนี้ก็สามารถสรุปได้แบบครอบคลุมจากรายการข่าวข้น คนเนชั่น ที่ได้นำเสนอเรื่องราวที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คณะมนุษยศาสตร์ร่วมกับคณะนิเทศศาสตร์ ได้จัดเสวนาเรื่อง “ภาษาวัยรุ่น ภาษาว้าวุ่นในสื่อ” โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธเนศ เวศภาดา คณะบดีคณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยหาการค้าไทย ได้บอกถึงสาเหตุที่ทำให้ภาษาไทยวิบัติ ไว้ดังนี้ 1. เกิดจากคนในสังคมสื่อสารล้มเหลวโดยใช้ภาษาผิด ๆ ถูก ๆ 2. คนในสังคมรู้จักใช้ภาษาเพียงทำเนียบเดียว สับเปลี่ยนวงภาษาไม่ได้ 3. คนในสังคมมีคลังคำจำกัดใช้ถ้อยคำได้ไม่หลากหลาย 4. คนในสังคมมีประสบการณ์ทางภาษาน้อย อ่านแต่หนังสือที่ใช้ภาษาชั้นเลวถึงชั้นธรรมดา ทำให้เขียนสื่อสารไม่ลึกซึ้ง 5. สื่อมวลชนไม่ได้เป็นผู้นำทางการใช้ภาษาในทางที่ถูกต้องเนื่องจากปัจจุบันการเข้าถึงสื่อต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ง่าย ดังนั้นสื่อต่าง ๆ ควรจะระมัดระวังการใช้ภาษา เพราะสื่อมวลชนเป็นผู้นำด้านภาษา 6. คนในสังคมเข้าใจผิดคิดว่าครูภาษาไทยเป็นเจ้าของภาษา และเป็นผู้ที่ต้องใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องเพียงผู้เดียว 7. คนในสังคมเข้าใจว่าในประชาคมอาเซียนเราต้องรู้ภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะภาษาอังกฤษเพราะเป็นภาษาสากล ภาษาไทยพอรู้พออ่านออกเขียนได้พอแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดมาก ภาพจาก : pixabay.com การเปลี่ยนแปลงของภาษามีสาเหตุมาจากการตอบสนองความต้องการของมนุษย์เพื่อให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของการสื่อสาร แต่ผลที่ตามมาคือทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไป โดยปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของภาษานั้น ล้วนขึ้นอยู่กับบุคคลและสภาพสังคมนั้น ๆ ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นอาจไม่ใช่สาเหตุทั้งหมดของปัญหา แต่ทั้งหมดล้วนเป็นสาเหตุหลักที่เราสามารถพบเจอได้ทั่วไปทั้งสิ้น หากเราการเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการเขียนภาษาไทยให้ถูกต้อง การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องนั้นจะไม่ใช่สิ่งที่ยากเกินความพยายามอย่างแน่นอน ดูข่าวเพิ่มเติมได้ที่ youtube.com youtube.com today.line.me