สิ่งที่หลายคนร่ำเรียนมาหลายปี... ภาษาที่หลายคนอยากสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว... เม็ดเงินมากมายที่หมดไปกับครูสอนภาษาและกับการคาดหวังว่าเราจะพูดกับเจ้าของภาษาได้อย่างมั่นใจสักที... แต่จนแล้วจนรอด ไม่ว่าจะลงคอร์สเรียนมากมายเพียงใด ถึงแม้จะเรียนนานาชาติ หรือจบเอกอังกฤษ... แต่ทำไมหลายคนถึงยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักที? ผู้เขียนเป็นหนึ่งคนที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนานาชาติ และกล้ายืนยันว่าไม่ใช่ทุกคนที่เรียนนานาชาติมาจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้ (ไม่ต้องถึงขั้นดีและมั่นใจ เอาแค่สื่อสารรู้เรื่อง) ผู้เขียนเคยเรียนภาษาจีนมานานถึงเก้าปี ได้ใช้ภาษาจีนสื่อสารพูดคุยขีดเขียนทุกวันเนื่องจากโรงเรียนของผู้เขียน ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาตอนปลายมีหลักสูตรภาษาจีน แต่เพียงแค่ผู้เขียนเริ่มชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ณ โรงเรียนสาธิตฯแห่งหนึ่งโดยเลือกแผนการเรียนสายวิทย์-คณิต ภายในหนึ่งปีผู้เขียนก็ลืมเลือนภาษาจีนจนแทบสิ้น (อย่างเดียวที่ยังคงทำได้คือ การเขียนภาษาจีนแบบตัวเต็มได้ถูกหลักการเขียน) เมื่อไม่ได้ใช้ภาษาจีนในชีวิตประจำวัน ก็พูดภาษานั้นไม่ได้อีกแล้ว นอกจากจะต้องเริ่มต้นเรียนใหม่อีกครั้ง พอขึ้นชั้นมัธยมปลาย เพื่อน ๆ ของผู้เขียนกวดวิชากันหนักมากในแทบจะทุกวิชา รวมทั้งภาษาอังกฤษ แต่คอร์สเดียวที่ผู้เขียนลงเรียนก็คือ การเขียนภาษาอังกฤษ พอถึงเวลาสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัย ผู้เขียนได้ทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนานาชาติเอกชนอันดับหนึ่งของประเทศไทย ผู้เขียนจึงไม่สนใจสอบแข่งขันเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยอื่นใดอีก และเมื่อจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ต้องมีการยื่นคะแนนสอบ TOEIC (The Test of English for International Communication) ผู้เขียนก็ได้คะแนน 905 จากคะแนนเต็ม 990 (ได้คะแนน Listening เต็ม 495 คะแนน) ในการสอบเพียงครั้งเดียว ด้วยการฝึกทำ Textbook เพียงเล่มเดียว และไม่ได้ลงเรียนพิเศษใดๆทั้งสิ้น (วันที่สอบ 9 มีนาคม ค.ศ. 2011) และพอเรียนจบผู้เขียนก็ได้ฝึกงานภาคพื้นดินกับสายการบินตะวันออกกลางสายการบินหนึ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่ผู้เขียนตระหนักว่า ผู้เขียนสื่อสารภาษาอังกฤษไม่เพียงรู้เรื่องเท่านั้น แต่สื่อสารได้ดีและมั่นใจ เพราะผู้เขียนได้ใช้ภาษาจริง ๆ ทุกวัน และนั่นทำให้ผู้เขียนเลือกสายงานวิชาชีพที่ต้องพูดภาษาอังกฤษแทบจะตลอดเวลา เพราะตราบใดที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน ตราบนั้นก็จะยังคงสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ไม่อยากให้ภาษาอังกฤษหายสาบสูญไปจากชีวิตตัวเองเหมือนภาษาจีน ผู้เขียนไม่ได้ต้องการจะสื่อว่าตนเองเก่งหรือใด ๆ ทั้งสิ้นนะคะ เพียงแค่รู้สึกว่า เราเรียนภาษากันแบบผิด ๆ มาตลอดชีวิตหรือเปล่าเลยสื่อสารไม่ได้สักที? ผู้เขียนเองก็เคยเป็น tutor สอนภาษาอังกฤษแบบตัวต่อตัว และเคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษกับโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในประเทศบาห์เรน แต่โลกแห่งการทำงานที่ต้องพูดกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงานเป็นภาษาอังกฤษทุกวันตอกย้ำความเชื่อของผู้เขียนว่า เราเรียนภาษากันมาแบบผิด ๆ จริง ๆ การเน้นเรียนแต่หลักภาษาและไวยากรณ์ หรือแม้แต่คำศัพท์และประเภทของบทสนทนาต่าง ๆ ไม่ได้ช่วยให้เราพูดภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจ และการดูสื่อหรือสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่มีทั้งภาคภาษาอังกฤษและคำแปลภาษาไทยก็ยิ่งทำให้เราติดคิดเป็นภาษาไทยก่อนที่จะแปลเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งในความคิดของผู้เขียนนั้น ไม่ได้ช่วยให้เราคิดเป็นภาษาอังกฤษโดยตรง และไม่นำไปสู่การพูดภาษาอังกฤษได้อย่างลื่นไหลเป็นธรรมชาติ เพราะเรามัวแต่คิดเป็นภาษาไทยก่อน เมื่อได้มาเจอแฟน (ในอดีต) หรือสามี (คนเดียวกันแต่เป็นในปัจจุบัน) ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ และได้มีเพื่อนชาวต่างชาติมากขึ้น (ไม่ว่าจะสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่หรือไม่ก็ตาม) ผู้เขียนก็ได้เรียนรู้การใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยเฉพาะคำแสลง คำอุทานต่าง ๆ คำลามก และคำหยาบ (คำหยาบนี่เยอะมากค่ะ) แต่เหนือสิ่งอื่นใดยิ่งทำให้ผู้เขียนได้รู้ว่า หลักไวยากรณ์ คำศัพท์ และบทสนทนาที่เรียนมาหลายปีนั้น แทบจะไร้ประโยชน์ หลักไวยากรณ์และคำศัพท์ไม่ได้ทำให้ผู้ฟังของเราเข้าใจความหมาย แต่การออกเสียงคำหรือ pronunciation ต่างห่างที่สำคัญ การออกเสียง r กับ l ไม่ชัดเจนทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้โดยสิ้นเชิง เช่น bloom กับ broom เมื่ออาทิตย์ก่อนผู้เขียนบอกสามีขณะที่เราเดินซื้อของกันอยู่นั้นว่า I want to by a bloom. (ด้วยความที่ผู้เขียนพูดคำว่า bloom บ่อย เพราะหนึ่งในดาราที่ผู้เขียนชื่นชอบคือ Orlando Bloom [รับบทเป็น Legolas ใน The Lord of the Rings และ The Hobbit และ William Turner ใน Pirates of the Caribbean เป็นต้น] ทำให้ผู้เขียนติดคำว่า bloom) สามีผู้เขียนทำหน้าแบบ what? ผู้เขียนเลยทำท่ากวาดพื้น “บลูม” อ่ะยู to sweep the floor สามีบอก อ้อ broom ผู้เขียนตบหน้าผากตัวเองดังเปรี้ยง bloom แปลว่า (ดอกไม้)บาน ส่วน broom คือไม้กวาดThe witch and the broom (แม่มดกับไม้กวาด) แม้แต่คำศัพท์ที่ท่องมาก็แทบจะไม่ได้ใช้ ในสถานการณ์จริงการพูดจากันนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วมาก หลาย ๆ ทีเราคิดก่อนพูดด้วยซ้ำ เวลามานั่งเปิดพจนานุกรมก่อนพูดก็ไม่พอ เวลาเดียวที่ผู้เขียนใช้คำศัพท์หรู ๆ ที่ท่องจำมาหรือเปิดพจนานุกรมคือตอนที่ต้องเขียนงานเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น เพราะการเขียนใช้ภาษาที่เป็นทางการมากกว่าการพูด เช่น เวลาเราต้องการสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจว่า เราอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก คำว่ายากลำบาก ภาษาอังกฤษคือ difficult หรือ hard ซึ่งหลายคนมีปัญหาในการออกเสียงสองคำนี้ เราสามารถเปลี่ยนจาก “ยากลำบาก” เป็น “ไม่ง่าย” ได้ โดยที่ผู้ฟังยังคงเข้าใจสิ่งที่เราต้องการจะสื่อ แทนที่จะพูดว่า “We’ve had a difficult time.” เราอาจจะพูดว่า “It’s not (been) an easy time for us.” ก็ได้ หรือเวลาที่คุณนึกคำศัพท์ไม่ออก “ไม้เท้า” หรือ cane/crutch/stuff (ในหนังเรื่อง The Lord of the Rings ใช้คำว่า stuff เรียกไม้เท้าของพ่อมด Gandalf) คุณสามารถที่จะใช้คำอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่ออธิบาย “ไม้เท้า” ได้ เช่น “My leg’s broken from a car accident. I need something to help me when I walk.” แทนการพูดว่า “I need the crutches.” เมื่อคุณไม่รู้ศัพท์ เพราะคุณไม่ได้ใช้คำนั้นบ่อย โดยเฉพาะเวลาเราสื่อสารกับคนอื่นที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเหมือนเรา การใช้คำหรูหราเป็นทางการและถูกไวยากรณ์แทบจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เช่น ครั้งหนึ่ง สมัยผู้เขียนยังทำงานในโรงแรม เวลาผู้เขียนบอกแขกว่า “Breakfast is complimentary.” ถ้าเป็นแขกที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ก็จะเข้าใจเลยทันที แต่เราต้องไม่ลืมว่า เราใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางเพื่อสื่อสารกับคนจากทั่วโลก ผู้เขียนพบแขกที่ถามคำถามเดิม ๆ อยู่บ่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่แจ้งไปแล้วว่า “Breakfast is complimentary.” แขกก็ยังคงถามว่า “How much (do I have to pay) for breakfast?) ผู้เขียนก็ตอบไปว่า “It’s already included in your package.” แขกก็ยังคงไม่เข้าใจ สุดท้ายผู้เขียนก็ต้องใช้คำที่ง่ายและเป็นภาษาบ้าน ๆ ที่สุด “It’s free.” แล้วแขกก็พยักหน้าพอใจเดินขึ้นห้องพักไป ถ้าเช่นนั้น เรียนภาษาอังกฤษอย่างไรให้ได้ผล? ผู้เขียนคงต้องบอกว่าให้เปลี่ยนคำว่าเรียนเป็นฝึกฝนแทนค่ะ ผู้เขียนเริ่มฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเองตั้งแต่เริ่มเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น โดยใช้หลักการเดียวกันกับที่เคยถูกฝึกมาสมัยเรียนในโรงเรียนจีน ในตอนที่ฝึกภาษาจีนนั้น เหล่าซือหรือคุณครูพูดภาษาไทยไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นในทุกวิชาที่เหล่าซือสอนจะใช้ภาษาจีนล้วน ๆ ไม่มีภาษาไทยปนอยู่เลยแม้แต่น้อย เช่น ในหนังสือเรียนของผู้เขียนจะไม่มีคำแปลภาษาไทยเขียนอยู่เลย มีแต่ พินอิน หรือการออกเสียงเขียนกำกับไว้เท่านั้น แต่อ่านไปอ่านมาหลายปีเข้า จู่ ๆ ก็เข้าใจความหมายเอง เห็นเป็นภาพอยู่ในหัว โดยไม่มีภาษาไทยกำกับ ดังนั้น ผู้เขียนขอสรุปวิธีฝึกฝนภาษาอังกฤษและสิ่งที่คุณควรจะต้องมี เพื่อการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดีและมั่นใจ ดังนี้ค่ะ 1. รู้เป้าหมายที่ชัดเจนคุณอยากฝึกภาษาอังกฤษไปเพื่ออะไร เพื่อได้งานที่ได้เงินดี เพื่อท่องเที่ยว ฯลฯ สำหรับผู้เขียนแล้ว ภาษาอังกฤษช่วยเปิดโลกค่ะ ทั้งจากการอ่านและการพูดคุยกับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่าน หนังสือดี ๆ หลายเล่มไม่มีฉบับแปล และหนังสือแปลหลายเล่มก็อ่านไม่สนุกเท่าอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษค่ะ ไม่ใช่ว่าผู้แปลแปลไม่ดีนะคะ แต่อรรถรสในการอ่านได้ไม่เท่าต้นฉบับค่ะ เพราะคำภาษาอังกฤษหนึ่งคำบางทีมันแปลได้หลายความหมายค่ะ การตีความของผู้แปลก็อาจจะไม่เหมือนกับผู้เขียนหนังสือต้นฉบับเสมอไปGoal คือ เป้าหมาย 2. ฝึกฟัง โดยไม่ต้องตั้งใจฟัง โดยไม่ต้องสนใจความหมาย แล้วคุณจะเข้าใจเองในที่สุดผู้เขียนฝึกฟังตั้งแต่สมัยที่ยังไม่มี youtube โดยใช้วิธีฟังแต่เพลงภาษาอังกฤษ ข่าวภาษาอังกฤษ ช่องเคเบิ้ลทีวีของ True ที่เป็นภาษาอังกฤษ โดยจะปิด subtitle ภาษาไทยถ้าปิดได้ เพราะถ้าไม่ปิด subtitle ภาษาไทย ก็จะมัวแต่อ่านคำแปลนั้นแทนที่จะฟัง จำได้เลยว่าชอบดู series สืบสวนสอบสวน NCIS และ Criminal Mind หรือไม่ก็เปิดช่องสารคดีภาษาอังกฤษทิ้งไว้ทั้งวัน ในระหว่างที่ตัวเองก็ทำงานบ้านหรืออย่างอื่นไปด้วยขณะที่ฟังไปเพลิน ๆ3. ฝึกพูดตามให้เหมือนที่สุด โดยที่ไม่ต้องรู้ความหมาย (เทคนิค shadowing)เลือกหนังหรือภาพยนตร์ที่คุณชื่นชอบ เปิด subtitle ภาษาอังกฤษ แล้วพูดตามหนังทั้งเรื่อง ในการฝึกช่วงแรก ๆ ถ้าพูดไม่ทันให้เลือกพูดตามเฉพาะตัวละครหลักก่อน การฝึกพูดตามจะช่วยคุณเป็นอย่างมากในการออกเสียงหรือ pronunciation ช่วยให้คุณคิดเป็นภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติ และช่วยให้การพูดภาษาอังกฤษเป็นไปโดยธรรมชาติมากขึ้นในสถานการณ์จริง ผู้เขียนเริ่มฝันเป็นภาษาอังกฤษหลังจากฝึกพูดตามแบบนี้ได้ไม่นานค่ะ นอกจากนั้น คุณยังสามารถเลือกหนังที่เจาะจงเฉพาะสำเนียงหรือ accent ได้ด้วย (ผู้เขียนเลือกใช้ Harry Potter เป็นประจำ เพราะส่วนตัวชอบ British accent)4. ฝึกอ่าน เน้นหนังสือ ไม่เน้นพจนานุกรม ถ้าคุณอยากอ่านพจนานุกรม ขอให้อ่าน English-English Dictionaryการอ่านจะช่วยเพิ่มคลังคำศัพท์และหลักไวยากรณ์ให้คุณโดยทางอ้อม (ในจิตใต้สำนึก) คุณไม่จำเป็นต้องแปลเป็นภาษาไทย ในช่วงเริ่มแรกแค่คุณเข้าใจประเด็นหลักที่หนังสือต้องการจะสื่อ เข้าใจความรู้สึกที่เนื้อหาต้องการแสดง เพียงเห็นภาพในหัวก็พอ ไม่ต้องสนใจว่าภาพนั้นจะเลือนรางเพียงใด หรือถ้าคุณไม่มั่นใจจริง ๆ ก็อาจจะเริ่มต้นด้วยหนังสือนิทานที่มีภาพประกอบ แล้วค่อยเลื่อนขั้นไปเป็นนิยายหรือวรรณกรรมเยาวชน เช่น Winnie The Pooh, Charlotte’s Web หรือแม้แต่ Harry Potter อย่าถอดใจกับความหนาของหนังสือ หนังสือหนาไม่ได้แปลว่าอ่านยากเสมอไป หรือถ้าไม่ถูกกับหนังสือหนา ๆ จริง ๆ ให้เลือกอ่านพวกนิยายคลาสสิกที่นำมาเขียนใหม่ ส่วนใหญ่ที่ผู้เขียนเห็นจะเป็นของสำนักพิมพ์ Oxford และ Cambridge แบ่งเป็นหลายระดับตามความยากง่าย ซึ่งหนังสือเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือให้เลือกอ่านในวิชาภาษาอังกฤษระดับมัธยมศึกษาตอนปลายถึงมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว มีขายตามร้านหนังสือภาษาไทยทั่วไปค่ะ ผู้เขียนเห็นมีหลากหลายและเยอะมากโดยเฉพาะใน SE-ED ค่ะ ลองหาในหมวดหนังสือต่างประเทศหรือไม่ก็แบบเรียนนะคะ5. ฝึกเขียน อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง หนึ่งหน้ากระดาษ A4 โดยประมาณ หัวข้ออะไรก็ได้ไม่ต้องสนใจว่าถูกหลักไวยากรณ์ไหม แต่ถ้าไวยากรณ์เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคุณ เขียนเสร็จค่อยมาตรวจทานแก้ไขก็ได้ เปิดพจนานุกรมได้ถ้าคุณนึกคำศัพท์ไม่ออกหรือสะกดไม่ถูกจริง ๆ ถ้านึกหัวข้อไม่ออก ให้นึกถึงคำคำหนึ่งขึ้นมาแล้วเขียนประโยคอะไรก็ได้เกี่ยวกับคำนั้น เช่น Love, Cat, Food เป็นต้น หรือถ้าคุณช่ำชองการเขียนภาษาอังกฤษในระดับหนึ่งแล้ว คุณอาจจะเริ่มเขียนบันทึก (journal) ไม่ว่าจะประจำวันหรือประจำสัปดาห์ เป็นภาษาอังกฤษก็ยิ่งดี6. ความผิดพลาดคือโอกาสในการฝึกไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด แม้แต่คนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ก็ยังพูดผิดได้ นับประสาอะไรกับเราที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง เวลาเราพูดผิด สิ่งที่เราทำได้คือ ถ้ามีคนเตือน ให้กล่าวขอบคุณแล้วปรับปรุงแก้ไข หรือถ้าเรารู้ว่าเราพูดผิดด้วยตัวเอง แต่พูดออกไปแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ ขอให้หัวเราะกับความผิดพลาดนั้น กล่าวขอโทษและแก้ไขต่อไป การใช้อารมณ์ขันจะช่วยให้เราไม่รู้สึกกดดันกับการต้องพูดให้ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ผู้เขียนเองก็พูดภาษาอังกฤษผิดบ่อยครั้ง เช่น ตั้งใจจะพูดคำว่า substantial (แปลว่า สำคัญ มีแก่นสาร) แต่ดันพูดว่า sensual (แปลว่า กระตุ้นความรู้สึก โดยเฉพาะทางเพศ) แทน ต่อหน้าสามีและเพื่อน ๆ ฝรั่งของสามีอีกสามคน จำได้เลยว่าปฏิกิริยาของเพื่อน ๆ สามีดูแปลกไป ส่วนสามีผู้เขียนหัวเราะก๊าก พอผู้เขียนรู้ตัวก็หัวเราะเช่นกัน คราวนั้นจำได้ว่า พอกลับถึงบ้านก็เช็คคำศัพท์บนพจนานุกรมทันทีเพื่อความชัวร์ ผู้เขียนคงจำความหมายของสองคำนั้นได้ไปอีกนานแสนนาน7. ฝึกฝนต้องใช้เวลาคุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินจ้างครูสอนภาษาอังกฤษในการฝึกฝน เพราะสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับการฝึกฝนคือเวลาและวินัยของตัวคุณเอง สำหรับผู้เขียนเองเริ่มฝึกภาษาอังกฤษด้วยวิธีการข้างต้นตั้งแต่มัธยมศึกษาปีที่หนึ่งจนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรี 10 ปีโดยประมาณถึงได้รู้ว่าตัวเองใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้ดีเมื่อเริ่มต้นชีวิตการทำงาน ถ้าคุณไม่อยากรอจนทำงานถึงจะได้ฝึกใช้ภาษาจริง ใช้เวลาฝึกฝนโดยการไปที่ไหนก็ได้ที่มีชาวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวเยอะ ๆ ผู้เขียนเคยไปลองยืนอยู่ข้าง ๆ แผนที่ตรงสถานีรถไฟฟ้าจุดเชื่อมต่อ MRT สีลม กับ BTS ศาลาแดง ตรงนั้นผู้เขียนเจอนักท่องเที่ยวยืนดูป้ายหรือแม้แต่สอบถามเส้นทางกับผู้เขียนโดยตรงเลยก็มีเยอะมาก คุณไม่มีอะไรจะต้องเสีย แต่กลับเปิดโอกาสให้คุณได้ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวและได้ใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริง แต่ถ้าคุณอยากจะเสียเงินเรียนภาษาอังกฤษจริง ๆ ละก็ แนะนำให้คุณหาเพื่อนต่างชาติไว้คุยออนไลน์หรือตัวต่อตัวก็ได้ โดยคนเหล่านั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นครู มีฝรั่งหลายคนที่รับเป็นเพื่อนคุยเพื่อฝึกภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะผ่านทางออนไลน์นั้น คุณสามารถเลือกสัญชาติและสำเนียงได้ด้วย การบังคับให้ตัวเองต้องพูดคุยกับคนที่พูดภาษาไทยไม่ได้เลยนั้น ก็เหมือนกับการพาตัวเองไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ที่การสื่อสารภาษาท้องถิ่นหมายถึงการอยู่รอดของคุณเองในประเทศนั้น ๆ หลักการนี้ใช้ได้กับทุกภาษาไม่เพียงเฉพาะภาษาอังกฤษเท่านั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสื่อสารคือ ความเข้าใจ ต่อให้คุณพูดถูกหลักไวยากรณ์ ใช้คำศัพท์ที่หรูหราเพราะพริ้ง แต่ถ้าคนที่คุณคุยด้วยไม่เข้าใจสารที่คุณต้องการจะสื่อแล้ว คำพูดของคุณก็ไร้ความหมายค่ะ Do you understand? Get it?เครดิตภาพ: ภาพปก / ภาพประกอบที่ 1 / ภาพประกอบที่ 2 / ภาพประกอบที่ 3 / ภาพประกอบที่ 4 / ภาพประกอบที่ 5 / ภาพประกอบที่ 6 / ภาพประกอบที่ 7 / ภาพประกอบที่ 8 / ภาพประกอบที่ 9 / ภาพประกอบที่ 10 / ภาพประกอบที่ 11