(วันนี้ไม่ได้สอนภาษาญี่ปุ่น แต่บอกเล่าประสบการณ์ในการสอนภาษาญี่ปุ่นของผู้เขียน และแนะนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเรียนของผู้ที่สนใจ หรือผู้ปกครองของเด็ก ๆ ค่ะ)ในบรรดาภาษาต่างประเทศที่สอง ที่มีอยู่ในโรงเรียนมัธยมไทยนั้นมีอยู่ไม่กี่ภาษา แต่อันดับต้น ๆ จะเป็น ภาษาจีนและภาษาญี่ปุ่น เนื่องจากบ้านเรามีธุรกิจของสองชาตินี้เป็นจำนวนมากสำหรับภาษาญี่ปุ่น ภาคธุรกิจยังคงต้องการผู้มีทักษะภาษาญี่ปุ่นเป็นจำนวนมาก แต่กลับมีผู้ที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นในการทำงานได้จริงน้อยลง แม้ว่าจะมีผู้สนใจมากมายในระดับมัธยมปลาย สาเหตุหนึ่งคือ ความยากในการเรียน ทำให้มีผู้ที่ฝ่าฟันไปถึงระดับสูงได้ค่อนข้างน้อยมันยากขนาดไหนกันนะ เนื้อหาในระดับม.ปลาย เท่ากับภาษาญี่ปุ่นระดับต้น เนื้อหามีเพียงแค่การพูดคุยในชีวิตประจำวันเท่านั้นเองค่ะ (มาดูกันว่า คุณจะรับมือไหวหรือไม่)1. ตัวอักษร 3 ชนิดฮิรางานะ 46 ตัว เป็นอักษรพื้นฐาน มีเสียงพิเศษและเสียงผสม (ใช้ตัวอักษรเดิม) ต้องอ่านและเขียนให้ได้ภายใน 1 เดือน เพราะใช้แทนเสียงในภาษาญี่ปุ่นที่ไม่สามารถสะกดเป็นภาษาไทยได้คาตาคานะ 46 ตัว เสียงอ่านเหมือนฮิรางานะ จำประมาณ 2 สัปดาห์ (ใช้เขียนคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ)อักษรจีน ประมาณ 300 ตัว จำวิธีอ่านเขียนและความหมาย โดยจำเสียงอ่านแบบจีน (ซึ่งก็ไม่เหมือนจีนกลางแต่เป็นจีนสำเนียงญี่ปุ่น) และจำเสียงอ่านแบบญี่ปุ่น บางตัวมีเสียงอ่านที่ต่างกันถึง 5 แบบ ต้องได้ทั้งหมดภายใน 3 ปี ในขณะเดียวกัน เด็กประถมญี่ปุ่นจะต้องท่องประมาณ 1,000 ตัวค่ะ (ไม่แปลกใจเลยที่โนบิตะจะตกภาษาญี่ปุ่น)ด่านแรกยังไหวอยู่ไหมคะ (ถือว่าเป็นจุดคัดกรองว่าใครอยากเรียน ใครไม่มีใจจะเรียนได้ชัดเจนทีเดียว)2. คำศัพท์ เมื่อเรียนตัวอักษรจบ ก็จะนำตัวอักษรมาผสมกันเป็นคำศัพท์ ซึ่งเป็นคำทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น ตัวเลข ครอบครัว วิชาต่าง ๆ อาชีพ อาหาร เครื่องดื่ม นอกจากจะจำเสียงอ่านและความหมายแล้ว ยังต้องจำว่าใช้อักษรจีนตัวไหนด้วยนะคะ ก็ดูจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่ (ผู้เรียนที่อ่านไม่ออก จะให้เพื่อนอ่านให้ฟังแล้วจดเป็นภาษาไทย แน่นอนว่าการเขียนก็ลอก ๆ โดยไม่รู้ว่าเขียนอะไร บางคนก็จ้างเพื่อนทำการบ้านให้เลย ผู้ปกครองก็เหมือนโดนหลอกว่าลูกเรียนได้เรียนดีไม่มีปัญหา)3. ไวยากรณ์ เมื่อได้คำศัพท์แล้ว ก็นำมาเข้าประโยค ซึ่งจะพูดได้ในขั้นนี้ค่ะ แต่ไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่นนั้น สร้างความแตกแยกให้ระบบความคิดของเราที่สุด เพราะเรียงลำดับคำไม่เหมือนภาษาไทย เช่นฉันของครู...ญี่ปุ่นชาวเป็น = ครูของฉันเป็นชาวญี่ปุ่นฉัน...ข้าว...กิน = ฉันกินข้าวพรุ่งนี้...โรงเรียน...ไปไม่ = พรุ่งนี้ไม่ไปโรงเรียนพ่อ...9 โมงตั้งแต่ 1 ทุ่มถึง ทำงานน้อง 6 โมง ตอน ตื่น โต๊ะบน...ปากกา...1 ด้ามมีอยู่ = มีปากกา 1 ด้ามอยู่บนโต๊ะ เป็นต้นน่าสนุกดีนะคะ ยังค่ะ ยังไม่พีคเท่าสิ่งที่ต้องพูดเพิ่มใน...ค่ะ (เป็นคำชนิดหนึ่งที่ภาษาไทยไม่มี เวลาแต่งประโยคเราก็จะลืมตลอด) เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า แค่รู้คำศัพท์อย่างเดียวยังเอาไปใช้ไม่ได้ ต้องรู้วิธีเรียงลำดับคำ และหน้าที่ของคำในประโยคนั้น ๆ ก่อน (ผู้เรียนที่ไม่ไหว จะเริ่มนั่งทางใน เข้าเฝ้าพระอินทร์ หรือไม่ก็ชวนเพื่อนเล่นแทน)4. ระดับภาษาที่นำไปใช้ คล้าย ๆ คำราชาศัพท์บ้านเรา ต่างกันตรงที่ของญี่ปุ่นมีทั้งคำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ และคำวิเศษณ์ และใช้ในชีวิตประจำวันเลยค่ะ เช่น คนสนิท คนไม่สนิท ลูกค้า เจ้านาย กว้างมาก ๆ เลยค่ะ แต่โชคดีที่ ม.ปลายจะได้เรียนรู้แค่บทเดียว (คุณผู้อ่านพอจะคาดเดาความรู้สึกของผู้เรียนที่ไม่ไหวได้ไหมคะ)หลัก ๆ ก็มีอยู่ประมาณนี้ค่ะ ที่เหลือจะเป็นความเข้าใจทางวัฒนธรรม ถ้าเป็นผู้เรียนที่ถนัดภาษา เขาจะเห็น 4 ข้อนี้เป็นเรื่องท้าทาย น่าสนุก และชอบที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา ไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอุปสรรคในการเรียนแต่อย่างใดค่ะอาจจะดูแล้วน่ากลัวไปหน่อย แต่ในความเป็นจริงในโรงเรียน หรือสถาบันสอนภาษา จะเรียนอย่างเป็นขั้นตอน ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าเด็ก ๆ ทำตามก็จะจำง่าย ไม่หนัก และสนุกด้วยต่างกับผู้เรียนที่มองตัวอักษรเป็นเรื่องยาก ผู้เรียนประเภทนี้ จะคอยหาวิธีเลี่ยงที่จะเรียนทุกรูปแบบ ไม่ท่อง ไม่จำ ไม่เขียน ไม่อ่าน ไม่ฝึก อะไรก็ได้ที่ไม่ต้องใช้สมอง ไม่ต้องเหนื่อย พอถึงเวลาสอบค่อยอ่านความรู้ทั้งหมดในคืนเดียว (แน่นอนว่า อ่านไม่ออกและไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ใช่ภาษาไทยนี่คะ) คนสอนเองก็จะงง ๆ ค่ะ ว่ามาเรียนทำไม ถ้าไม่ได้อยากรู้ในส่วนของแบบฝึกหัดหรือการบ้าน ถ้านำวิชาทักษะ (ดนตรี กีฬา ศิลปะ ภาษา) ไปเปรียบเทียบกับวิชาทฤษฎี (คณิต สังคม ประวิติศาสตร์) จะแตกต่างกันชัดเจนค่ะ คำถามคือ ไม่มีการบ้านหรือการบ้านน้อย ๆ ดีกว่าหรือไม่ลองพิจารณาตามนี้นะคะ ถ้าเราอยากเป็นนักฟุตบอล แล้วเรียนโดยการดูวิดีโอสอนการเล่นบอลอย่างเดียว ขณะที่เพื่อนซ้อมบอลในสนาม พอถึงวันแข่ง(สอบ)จะเตะบอลได้ดีเท่าเพื่อนไหมคะภาษาต้องการการฝึกฝนเช่นเดียวกันค่ะ คือต้องฝึกใช้ทุกวัน ๆ จึงจะเกิดความเชี่ยวชาญ คำศัพท์จำเป็นต้องจำให้ได้ เพราะต้องใช้ในการสื่อสาร จะต้องจำมากแค่ไหน อยู่ที่ผู้เรียนอยากนำไปใช้มากน้อยแค่ไหนค่ะ ถ้าจะเรียนแค่ให้ผ่านก็ต้องได้ตามเกณฑ์ในหนังสือ ถ้าอยากเก่งกว่านั้น ก็ต้องฝึกฝนเพิ่มเติมนอกเหนือจากการเรียนในห้อง ดังนั้น อยากฝากถึงผู้ปกครอง และเด็ก ๆ ที่คิดจะเรียนแผนภาษาญี่ปุ่น นอกจากต้องหาข้อมูลให้ดีแล้ว ยังต้องสำรวจความถนัดของผู้เรียนด้วยนะคะ สังเกตตัวเองว่า เราชอบคุย ชอบถาม ชอบเลียนเสียงแปลก ๆ อยากรู้เกี่ยวกับภาษาเยอะ ๆ ดูหนังหรือการ์ตูนก็พยายามฟังให้ออก และพยายามหาความรู้ด้วยตัวเองตลอดเวลา แบบนี้ถือว่าจริงจังค่ะ ถ้าไม่ใช่ จะเสียเวลาเปล่า ผู้เขียนสอนมาเกือบ 10 ปี เห็นเด็ก ๆ จำใจเรียน แล้วได้เกรด 0 ทั้ง 6 เทอม แบบนี้ผู้สอนก็เครียดนะคะ แต่ถ้าใครพร้อมเรียนรู้ ก็ลองเรียนภาษาญี่ปุ่นกันนะคะสำหรับประสบการณ์ในฐานะผู้เรียนของผู้เขียน เริ่มเรียนครั้งแรกในมหาวิทยาลัยค่ะ จะหนักกว่าระดับมัธยมอยู่แล้ว ดังนั้น ขอสรุปสั้น ๆ ว่ามีเคล็ดลับในการเรียนยังไงบ้างนะคะ (เป้าหมาย คือ นำภาษาญี่ปุ่่นไปใช้ในการทำงานบริษัทได้ ไม่ถึงขั้นสอบแข่งขันนะคะ)กำลังใจ โชคดีที่บุคคลในครอบครัวคอยสนับสนุนมาตลอด เมื่อท้อก็จะเดินต่อได้ทุกครั้ง กดดันตัวเอง เมื่อเริ่มหาข้ออ้างเรียนไม่ไหว ก็จะคิดว่าจะเป็นการทำให้พ่อแม่เสียใจ และเสียหน้า ไม่อยากถูกนินทาเลยต้องสู้ต่อไปค่ะวิธีจำศัพท์และคันจิ ท่องและเขียนบ่อยๆเท่านั้นค่ะ แต่จำแบบจินตนาการเป็นเรื่องราวจะจำได้นานกว่าสำเนียงและไวยากรณ์ ดูอนิเมซับไทย/อังกฤษ แล้วต้องออกเสียงพากย์ตามไปด้วยค่ะ (เพลงญี่ปุ่นก็ช่วยได้เยอะ)เมื่อไม่เข้าใจ หาใครอธิบายไม่ได้ก็ เรียนสถาบันภาษาแล้วถามอาจารย์เอาค่ะสรุปว่า สำหรับผู้เขียน ภาษาญี่ปุ่นจะสนุกเมื่อเราเรียนแล้วเข้าใจ อ่านเขียนได้ ฟังพูดรู้เรื่อง โดยที่ไม่ต้องดูเฉลยหรือลอกใครค่ะ อ้างอิงภาพปก canvaภาพประกอบ 1 pixabay ภาพประกอบ 2 pixabay