หากกล่าวถึงภาวะฟองสบู่แตก เพื่อน ๆ นึกถึงอะไรบ้างคะ แน่นอนว่าเหตุการณ์หนึ่งที่เพื่อน ๆ นึกถึงคงหนีไม่พ้น เหตุการณ์ฟองสบู่แตกเมื่อปี 1997 หรืออาจเขยิบเข้ามาหน่อยคงเป็นเหตุการณ์วิกฤตซับไพรม์ปี 2008 ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เศรษฐกิจซบเซาอย่างหนัก และหากย้อนกลับไปในอดีต ภาวะฟองสบู่แตก ได้เกิดขึ้นซ้ำหลายครั้ง และแตกต่างสถานที่กันไป วันนี้ผู้เขียนจึงขอพาเพื่อน ๆ ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ภาวะฟองสบู่แตกครั้งแรกของมนุษยชาติกันค่ะในปี ค.ศ.1600-1700 ณ.ประเทศเนเธอแลนด์ ขณะนั้นชาวดัชจัดได้ว่าเป็นผู้นำเข้าสินค้าที่สำคัญของประเทศ อีกทั้งประเทศในช่วงนั้นมีความรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก เมื่อมีเงินเยอะความต้องการซื้อสินค้าต่าง ๆ ยิ่งเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยทั้งหลาย ซึ่งขณะนั้นสิ่งที่ดูเป็นกระแสนิยมที่สุดคงหนีไม่พ้น ดอกทิวลิป ที่มีสีสันสดใส และแปลกตาในยุคนั้น มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดตาดึงดูดใจแก่ผู้ซื้อจำวนมาก จึงเกิดกระแสความนิยมดอกทิวลิป อย่างมหาศาลในเวลาต่อมา ชาวดัชเริ่มเห็นหนทางทำเงินอย่างมหาศาลจากการขายหัวทิวลิป จึงคิดที่จะนำเข้าหัวทิวลิป โดยต้นทิวลิปจะออกในช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน เท่านั้น หลังจากนั้นจึงเอาหัวไปปลูกต่อ เพื่อทำกำไรต่อไป ซึ่งทำให้คนต้องการซื้อหัวทิวลิปเป็นจำนวนมาก จนเกิดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Future Contract) โดยที่ใครซื้อสัญญานี้สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นหัวทิวลิปได้จากความต้องการดอกทิวลิปอย่างมหาศาล มันได้จูงใจให้นักเก็งกำไรหลายคนเข้ามาลงทุน สัญญาหัวทิวลิปถูกขายไปหลายต่อ (เคยมีบันทึกว่า มีคนนำที่ดิน 49,000 ตารางเมตร มาแลกหัวทิวลิป ตระกูล Semper Augustus เพียงหัวเดียว) จนสุดท้ายราคาขึ้นไปสูงสุดที่ 200 กิลเดอร์ ในวันที่ 3 ก.พ. 1637 ซึ่งราคานี้ไม่มีคนซื้อขายกันต่อแล้ว ซึ่งนั่นแสดงว่าฟองสบู่ของดอกทิวลิปได้แตกแล้ว ทุกคนที่หวังทำกำไรจากหัวทิวลิปเริ่มกังวล จึงเกิดการเทขาย เมื่อความต้องการขายมากจึงทำให้ราคาลดลงไปอยู่ที่ 10 กิลเดอร์ ภายในเดือนเดียว สุดท้ายหัวทิวลิปได้ทำให้คนล้มละลายไปหลายสิบคน อีกทั้งมันยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นไปอีกหลายปีซึ่งเหตุการณ์ The Dutch Tuplip Mania Bubble มีลักษณะคล้ายกับเหตุการณ์ฟองสบู่แตกหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกไปนี้ รวมถึงเหตุการณ์ฟองสบู่แตกช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 1997 อีกด้วย ซึ่งบทเรียนที่สำคัญของเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นการอยู่บนพื้นฐานของความจริง หากราคาสินค้าไม่ว่าชนิดไหนมันเพิ่มขึ้นมากกว่าพื้นฐานความต้องการสินค้านั้น สุดท้ายราคาสินค้าต้องกลับสู่จุดดุลภาพเดิม เพื่อให้พอดีกับความต้องการในสินค้านั้น ซึ่งหากเราขาดความตระหนักและให้ความโลภเข้ามาครอบงำ โดยไม่คำนึงปัจจัยต่าง ๆ ก็อาจจะส่งผลเสียในอนาคตตามมาได้เช่นกัน เหมือนคำพูดที่เราคุ้นหูว่า “ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง โปรดใช้วิจารญาณก่อนตัดสินใจลงทุน” ซึ่งประโยคสุดคลาสสิคนี้มันก็ใช้ได้ทุกสถานการณ์จริง ๆ หวังบทความนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ เรียนรู้และตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต เจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ ขอบคุณรูปหน้าปก: Unsplashรูปภาพที่1: Unsplashรูปภาพที่2: Unsplashรูปภาพที่3: รูปภาพโดยผู้เขียน