ท่านเคยได้ยินพิธีกรรมที่ชื่อว่า "ฮดสรง" หรือไม่ พิธีกรรมนี้ถูกจัดขึ้นในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากประเพณีดั้งเดิมของอาณาจักรล้านช้าง (ลาว) โดยในภาคอีสานปรากฏหลักฐานในการประกอบพิธีฮดสรงหลายพื้นที่ คำว่าฮดสรง ว่าจากคำว่า หด ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า รด และคำว่าสรง ที่มาจากคำว่าสรงน้ำนั่นเอง พิธีกรรมนี้จะถูกจัดขึ้นช่วงเดือนเมษายน ในประเพณีบุญเดือน ๕ หรือวันสงกรานต์ ลักษณะเด่นของพิธีกรรมคือการสรงน้ำพระสงฆ์หรือสามเณรที่จะฮด โดยพิธีกรรมนี้ถือว่าเป็น พิธีเถราภิเษก กล่าวคือพิธีกรรมนี้จะจัดขึ้นเพื่อการเลื่อนสมณศักดิ์ให้กับพระภิกษุหรือสามเณรในภาคอีสานซึ่งเป็นประเพณีที่คนอีสานสืบต่อกันมาอย่างช้านานพิธีฮดสรง : ภาพโดยผู้เขียนการประกอบพิธีฮดสรง การประกอบพิธีกรรมนี้จะถูกจัดขึ้นในโอกาสที่พระสงฆ์หรือสามเณรเล่าเรียนจบขั้นต่าง ๆ หรือชาวบ้านเห็นว่าควรจะเลื่อนสมณศักดิ์ให้พระสงฆ์หรือสามเณรรูปนั้น ๆ ในฐานะผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือผู้สร้างคุณประโยชน์ให้กับสังคม ซึ่งการทำพิธีฮดสรงนี้พระสงฆ์และสามเณรที่ถูกฮดจะถูกเลื่อนสมณศักดิ์ขึ้น ดังนี้- พระสงฆ์หรือสามเณรที่ผ่านการฮด ๑ ครั้งจะได้ขึ้นเป็น เจ้าหัวสำเร็จ- พระสงฆ์หรือสามเณรที่ผ่านการฮด ๒ ครั้ง จะได้ขี้นเป็น เจ้าหัวซา ซึ่งคำว่า ซา แปลว่า ปรีชา หรือ สามารถ- พระสงฆ์หรือสามเณรที่ผ่านการฮด ๓ ครั้ง จะได้ขี้นเป็น เจ้าหัวคู ซึ่งมาจากคำว่า ครู ซึ่งหมายถึงผู้มีหน้าที่สอนนั้นเอง- พระสงฆ์หรือสามเณรที่ผ่านการฮด ๔ ครั้ง จะได้ขี้นเป็น เจ้าหัวคูหลักคำ -พระสงฆ์หรือสามเณรที่ผ่านการฮด ๕ ครั้ง จะได้ขี้นเป็น เจ้าหัวคูลูกแก้ว- พระสงฆ์หรือสามเณรที่ผ่านการฮด ๖ ครั้ง จะได้ขี้นเป็น เจ้าหัวคูยอดแก้ว คำว่า "เจ้าหัว" เป็นคำที่ชาวบ้านในแถบอีสานใช้เรียกขาน พระสงฆ์ หรือบางพื้นที่อาจจะเรียกว่า "หัว" เฉย ๆ ก็มี ส่วนสามเณร จะใช้คำว่า "จัว" ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าชื่อสมณศักดิ์จะนำมาเติมท้ายคำเรียกขาน และจะตามท้ายด้วยชื่อ เช่น พระสงฆ์ชื่อ พร หากผ่านการฮดมาแล้ว ๓ ครั้งก็จะเรียก เจ้าหัวคูพร หรือ หัวคูพร เป็นต้น และนอกจากสมณศักดิ์ทั้ง ๖ ขั้นนี้แล้วยังมีสมณศักดิ์ที่ถือว่าเป็นขั้นพิเศษอีกหนึ่งขั้นคือ "ราชครูหลวง" ซึ่งเป็นสมณศักดิ์ขั้นสูงสุดที่ไม่มีแล้วในปัจจุบัน โดยสมณศักดิ์นี้ผู้ที่สามารถฮดให้ได้จะต้องเป็นพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านช้างเท่านั้นพิธีกรรมฮดสรง : ภาพโดยผู้เขียนสำหรับวิธีการประกอบพิธีกรรมฮดสรงมีรูปแบบดังนี้ พระสงฆ์หรือสามเณร จะถูกจัดให้นั่งอยู่ใต้ฮางฮด หรือ ฮางรินน้ำ ซึ่งจะทำด้วยแก่นไม้อย่างดี แกะสลักเป็นรูปพญานาคอย่างสวยงามตามแบบศิลปะอีสานโบราณ จากนั้นชาวบ้านจะทำการฮดสรงพระสงฆ์หรือสามเณรรูปนั้นด้วยน้ำอบน้ำหอม ซึ่งทำขึ้นจากขมิ้นขูดผสมกับน้ำสะอาด หลังจากทำพิธีฮดแล้วก็จะมีคนที่เป็นเจ้าภาพถวายสิ่งของต่าง ๆ เช่น ผ้าไตร รองเท้า ร่ม และเครื่องอัฐบริขารต่าง ๆ จากนั้นพระสงฆ์หรือสามเณรรูปที่ถูกฮดจะขึ้นไปเปลี่ยนผ้าไตรผืนใหม่ในพระอุโบสถ โดยมีพระเถระผู้ใหญ่ระดับเจ้าคณะปกครองสงฆ์เป็นประธานและเป็นผู้เปลี่ยนให้ เสร็จแล้วจะพาเดินออกจากพระอุโบสถ โดยวิธีการเดินออกจากพระอุโบสถนี้จะต้องใช้ไม้เท้าให้พระเถระผู้ใหญ่เป็นคนจูงออกมา จากนั้นจะมีชาวบ้านซึ่งศรัทธาในพระรูปที่ถูกฮดมานอนเรียงกันเพื่อให้พระสงฆ์เดินเหยียบเพื่อผ่านออกมาจากพระอุโบสถ ซึ่งพิธีกรรมตรงนี้เป็นพิธีกรรมที่มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของสาธุชนที่มีต่อพระสงฆ์หรือสามเณรรูปนั้น ๆ จากนั้นก็จะไปทำพิธีกรรมต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนาก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการเลื่อนสมณศักดิ์ให้กับพระสงฆ์หรือสามเณรการเดินออกจากพระอุโบสถ : ภาพโดยผู้เขียนสิ่งที่ซ้อนอยู่ในพิธีกรรมนี้ประการแรก เป็นพิธีกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความศรัทธาในทางพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าของคนอีสาน ซึ่งนอกจากพิธีกรรมนี้ยังมีอีกหลายพิธีกรรมที่คนอีสานรวมกันทำขึ้น ภายใต้ความศรัทธานี้ประการที่สอง เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพระสงฆ์และสามเณรในการสืบต่ออายุของพุทธศาสนาและการถ่ายทอด เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าประการที่สาม เป็นการประกาศคุณงามความดีของพระสงฆ์หรือสามเณรรูปนั้น ๆ ว่ามีความสำคัญกับชุมชนมากเพียงใดประการสุดท้าย พิธีกรรมนี้เป็นการบอกถึงลักษณะนิสัยของคนอีสานว่าหากศรัทธาในสิ่งใดแล้ว ก็จะแน่วแน่ในสิ่งนั้นและยึดมั่นในสิ่งนั้น อันจะเห็นได้จากการที่ชาวบ่านไปนอนเพื่อให้พระเดินผ่านออกมาจากพระอุโบสถ และหากท่านใดเคยร่วมพิธีกรรมนี้จะเห็นว่า เวลาประกอบพิธีกรรมเฒ่าผู้แก่บางคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เลยทีเดียว การแสดงออกเช่นนี้ทำให้เป็นข้อสนับสนุนว่า คนอีสานศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างแรกกล้า และมีวิธีการสืบทอดและธำรงพระพุทธศาสนาอย่างหลากหลายและดีงามการถวายดอกไม้ : ภาพโดยผู้เขียน