พฤติกรรมการใช้เงินและการออมเงินของคนรุ่นใหม่

ในปัจจุบันพฤติกรรมการใช้เงินของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นก่อนมีความแตกต่างกันมาก เพราะยุคสมัยเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย วันนี้เราเลยอยากจะพาเพื่อน ๆ มาวิเคราะห์ 'พฤติกรรมการใช้เงินและการออมเงินของคนรุ่นใหม่' กันว่าจะแตกต่างกับสมัยก่อนอย่างไร และเพื่อน ๆ มีพฤติกรรมการใช้เงินเหมือนคนรุ่นใหม่มากน้อยแค่ไหน หากพร้อมแล้วไปลุยกันเลย

จากการศึกษาพฤติกรรมทั่วไปของคนในยุค 4.0 นี้จะเห็นได้ว่า

1.) โดยส่วนใหญ่ในปัจจุบ้นแล้วคนมักจะชอบอยู่บ้านมากยิ่งขึ้นยิ่งผนวกกับเหตุการณ์ในปัจจุบันมีโรคไวรัสระบาดเกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้อัตราเพิ่มมากยิ่งขึ้น

2.) สืบเนื่องมาจากข้อแรก ทำให้คนชอบความสะดวกสบายมากขึ้น อะไรเร็วและง่ายสิ่งนั้นก็จะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีอาทิที่เห็นได้อย่างชัดเจนในตอนนี้เลยคือ 'ธุรกิจ Food Delivery' ซึ่งสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมของคนในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะหากธุรกิจใดคง Concept ง่าย สะดวก รวดเร็ว ก็สามารถตอบโจทย์และประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี และเหล่าร้านอาหารต่าง ๆ ก็พากับไปดีลกับธุรกิจ Food Delivery กันเยอะมาก ทำให้เติบโตไวขึ้นไปอีก

Employee Perspective 4.0  ของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทยเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เงินและการออมเงินของกลุ่มคนรุ่นใหม่ยุค 4.0 จะแสดงให้เห็น ดังนี้

- มีการใช้จ่ายประมาณ 10,001–15,000 (30%)

- มีการใช้จ่ายต่ำกว่า 10,000 บาท (25%)

- มีการใช้จ่ายประมาณ 15,001–20,000 บาท (18%)

ซึ่งจากข้อมูลเราจะมาวิเคราะห์ในหัวข้อแรกกันเลยค่ะคือพฤติกรรมการใช้เงินและการออมเงินของคนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่มีการใช้จ่ายที่ง่ายและคล่องแคล่ว กว่ายุคก่อน ๆ มาก อาทิเรื่องใกล้ตัวอย่างแอปพลิเคชัน 'Mobile Banking' หรือชื่อภาษาไทยคือ การทำธุรกรรมทางออนไลน์ ซึ่งแน่นอนว่าออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ ทั้งใช้งานได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีความง่ายไม่ว่าจะเป็น generation ไหนก็สามารถเรียนรู้การใช้งานได้เพราะไม่ซับซ้อนเลย และในปัจจุบันมีทุกธนาคารเลยที่มีรูปแบบ Mobile Banking นี้ สิ่งนี้ยังรวมไปถึงการ 'Shopping Online' เพราะหากย้อนไปในอดีตผู้คนแทบไม่รู้จักการซื้อของออนไลน์เลย หรือรู้จักแต่ก็ยังไม่เปิดใจเปิดรับเท่าที่ควร แต่หากตัดภาพมาในปัจจุบันจะเห็นว่าการซื้อของออนไลน์นั้นเปรียบเสมือนเรื่องธรรมดาไปซะแล้ว เพียงแค่เข้าแอปพลิเคชัน เช่น Shopee Lazada หรือแอปชอปปิ้งออนไลน์ และเพียงกดสั่ง โอนเงิน แค่นี้ก็แค่รอรับของได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่ต้องไปถึงที่ มันแสดงให้เห็นว่าเมื่อความสะดวกสบายเข้ามาในชีวิตของคนมากขึ้น พฤติกรรมการจ่ายเงินก็ง่ายขึ้นตามไปด้วย

วันนี้เราจึงอยากจะมาเเชร์พฤติกรรมการใช้เงินของเราว่าจากที่กล่าวมาทั้งหมดถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของคนในยุค 4.0 นั้นมีส่วนที่จริงมากแค่ไหนรวมถึงวิธีและทริคการออมเงินของตัวผู้เขียนเอง

ส่วนตัวของเราแล้วเมื่อก่อนเป็นคนที่ไม่เคยวางแผนการจ่ายเงินเลย ไม่ได้จำกัดว่าวันนี้เราควรจะจ่ายกี่บาท มีค่าอะไรยังไงบ้างในแต่ละวัน ไม่ได้บันทึกรายรับหรือรายจ่ายในแต่ละวันเลย และเราชอบสั่งซื้อของออนไลน์สุด ๆ ไม่ได้มีการไตร่ตรองว่าสิ่งที่เราซื้อไปสามารถใช้งานอะไรตรงไหนได้บ้างหรือซื้อมาแล้วมีประโยชน์อะไร เห็นว่าตัวเองชอบก็ซื้อเลยไม่คิดหน้าคิดหลัง คิดแค่ว่าซื้อมาก่อนค่อยว่ากัน ซึ่งตรงนี้เป็นข้อเสียสุด ๆ เพราะนิสัยการใช้จ่ายเงินแบบนี้จะทำให้ไม่มีเงินเก็บ เรียกง่าย ๆ ว่า ใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือนเลยละค่ะ จริง ๆ แล้วเราควรจะจ่ายเงินให้ Balance หรือให้สมเหตุสมผลกับเงินเดือนหรือรายได้ที่รับจะดีกว่า

แต่ตอนนี้เนื่องด้วยเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้น เช่น โรคไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระบาด ซึ่งส่วนนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยนั้นมีความผันผวนสูงมาก ทุกอย่าง ๆ หยุดชะงักแบบกะทันหันโดยไม่ได้ตั้งตัว ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจน้อยใหญ่ก็ต่างต้องปิดตัวลงหรือปิดถาวร ตัวเราก็เกิดคำถามขึ้นมาว่า 'ทุกวันนี้เราใช้จ่ายเกินตัวไปรึเปล่า?' 'เราจะต้องมาวางแผนการเงินแล้ว' หลาย ๆ คำถามหลาย ๆ คำพูดเกิดขึ้นมาในหัว และหลังจากนั้นเราก็เปลี่ยนการใช้เงินของตัวเองทันที ซึ่งเราจะมาแชร์การวางแผนและการออมเงินของเราให้เพื่อน ๆ ฟังกันค่ะ

การวางแผนและการออมเงิน

ที่บอกว่าระยะยาวเพราะสถานการณ์ดังกล่าวคงจะอยู่กับเราไปอีกนานแสนนานและคาดเดาไม่ได้เลย อันดับแรกเลยคือ 'การจัดลำดับของค่าใช้จ่ายที่สำคัญ' และ 'ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น' จริง ๆ มันพูดง่ายแต่ทำได้ยากมาก ๆ นะคะ คำว่าค่าใช้จ่ายที่สำคัญคือ ค่าอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเรา อาทิ อาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟต่าง ๆ และอะไรที่ไม่จำเป็นในส่วนนี้เราก็ไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจน เพราะคำว่า 'ความจำเป็น' มันอาจจะมีนิยามที่แตกต่างกันไป

ในปัจจุบันนี้หลังจากเหตุการณ์ไวรัสสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอะไรก็เปลี่ยนแปลงไป ยอดคนตกงานก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และอะไรก็ไม่แน่นอนเลยในตอนนี้ เหตุนี้เราจึงต้องมองหาช่องทางในการสร้างรายได้นอกเหนืองานที่ทำอยู่เป็นประจำ เราจะยกตัวอย่างคือ 'การออมหุ้น' คือคนหันมาออมหุ้นมากขึ้น เพราะว่าได้เงินปันผลสูงกว่าธนาคาร หรือมองใกล้ ๆ ตัวก็คือการเป็น 'นักเขียนของทรู' เพราะส่วนตัวเรามองว่าหากเราไม่มีต้นทุนในการไปลงทุนจริง ๆ ก็หาอะไรที่มันไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก แต่หากใครมีเงินทุนหน่อยก็อาจจะลองหาธุรกิจที่คิดว่า save ที่สุดกับภาวะเศรษฐกิจในตอนนี้

ส่วนตัวเราใช้สูตร '50:30:20' คือ 50% คือ สิ่งจำเป็นในชีวิต อาทิเช่น ของอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน พูดง่าย ๆ ก็คือปัจจัย 5 นั้นละค่ะ /  30% คือเงินเก็บเงินออม หลักของเราคือเราได้มา เราก็จะเก็บเข้าในอีกธนาคารที่สำหรับใช้เก็บเงินทันที และธนาคารนั้นจะต้องไม่มีบัตรเครดิตหรือ Mobile Banking / 20% คือเงินฉุกเฉินเงินอนาคต หมายถึงเงินสำรองจ่าย เพราะแน่นอนว่าอะไรไม่คาดฝันอาจจะเกิดขึ้นกับเราได้เสมอ อาทิ รถเสีย อุบัติเหตุต่าง ๆ เป็นต้น

ก็จบลงไปแล้วนะคะสำหรับ 'พฤติกรรมการใช้เงินและการออมเงินของคนรุ่นใหม่' เป็นยังไงกันบ้างคะ ตรงกับเพื่อน ๆ บ้างไหมหรือแตกต่างกันคอมเม้นต์มาบอกกันหน่อย ซึ่ง key หลักเรามองว่าในเศรษฐกิจแบบนี้อะไรสามารถประหยัดได้ก็ควรประหยัด มองอะไรที่มันสำคัญและจำเป็นกับชีวิตตอนนี้ก่อน เราเชื่อว่าเพื่อน ๆ จะอยู่กันได้แบบสบาย ๆ 🙂

• เครดิตข้อมูล Employee Perspective 4.0

manpowerthailand

• เครดิตภาพหน้าปก :

unsplash

• เครดิตภาพประกอบบทความจาก unsplash :

พฤติกรรมทั่วไปของคนในยุค 4.0

พฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของคนในยุค 4.0

แชร์พฤติกรรมกรรมการใช้เงิน

การวางแผนทางการเงินแบบระยะยาว

มองหาช่องทางสร้างรายได้ อื่น ๆ

การออมเงิน