ขณะนี้ภาคเหนือตอนบนเข้าสู่ฤดูฝุ่นพิษ PM 2.5 อีกครั้งหนึ่ง เป็นปัญหาซ้ำซากวนเวียนเป็นวัฏจักร และดูแล้วไม่มีทีท่าว่าจะแก้ปัญหามลพิษทางอากาศนี้ได้ ภายในหนึ่งปีอาจจะมีฝุ่นควันยาวนานถึง 6 เดือนเลยทีเดียว แต่เดือนที่วิกฤตที่สุดจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ยาวต่อเนื่องจนถึงเดือนเมษายน กว่าจะหมดหมอกควันได้ต้องรอฝนรอฟ้าตกลงมาต่อเนื่องหลายวันจึงจะบรรเทาปัญหานี้ไปได้ หรือพูดง่าย ๆ ว่ารอให้เป็นไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิตคงจะได้ ประชาชนจึงจำเป็นต้องสวมใส่หน้ากากกันฝุ่นเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ใครเลยจะสามารถสวมใส่หน้ากากอนามัยได้ตลอด 24 ชั่วโมง สภาวะหมอกควันตอนนี้ไม่ได้อยู่แค่ตามถนนหนทาง ภูเขา ท้องนาเท่านั้น แต่มันทะลุเขามายังแหล่งที่พักอาศัยเลยทีเดียว และปีนี้โรคไวรัสโควิด-19 ระบาดทำให้ราคาหน้ากากทะยานขึ้นไปสูง ทั้งยังหาซื้อยากเหลือเกิน ชาวบ้าน ชาวไร่ แม่ค้า จะใช้ชีวิตยังไงลองจินตนาการดู ฝุ่น PM 2.5 เป็นฝุ่นจิ๋ว ถ้าไม่รวมตัวกันเยอะ ๆ เราก็จะไม่สามารถเห็นได้ ซึ่งฝุ่นตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าเส้นผม 20-30 เท่า หรือเล็กกว่า 2.5 ไมครอน เป็นตัวสะสมก๊าซพิษหลากหลายชนิด รวมไปถึงโลหะหนักปนเปื้อนอยู่ในอากาศ มีผลกระทบต่อร่างกายไม่เฉพาะแค่ปอด ระบบการหายใจเท่านั้น แต่สามารถซึมผ่านเส้นเลือด ผ่านระบบประสาทการรับกลิ่นจากโพรงจมูกไปสู่สมอง นอกจากนี้ฝุ่นควัน PM 2.5 ยังทำให้แก่เร็วขึ้นอีกด้วย การสูดดมฝุ่นควันพิษนี้ส่งผลกระทบไปทั่วร่างกาย จากภาพแสดงผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย, เชียงรายที่มา http://air4thai.pcd.go.th/webV2/station.php?station=73t เมื่อปลายปีก่อนผู้เขียนเพิ่งสูญเสียญาติคนใกล้ชิดไปเพราะโรคปอด ท่านอายุ 81 ปี มีโรคประจำตัวคือไตวายเรื้อรัง หมอนำผลเอ็กเรย์ปอดในปีก่อนให้ดูพบว่าปอดยังใสทำงานได้ปกติ แต่ปีถัดมาห่างกันเพียงหนึ่งปีปอดมีจุดขาวเล็ก ๆ และเดือนถัดมาฝ้าขาวลุกลามในปอดเยอะขึ้น หมอสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นมะเร็งปอด แต่ผู้ป่วยเป็นไตวายเรื้อรังไม่สามารถทำการรักษาได้ ซึ่งเป็นการจากไปที่น่าเศร้าสร้อยเพราะโรคไตเป็นโรคเรื้อรังระยะยาว แต่ไม่คิดว่าจะมีปัญหาปอดเกิดแทรกซ้อนขึ้นและจากไปอย่างรวดเร็ว จากสภาพอากาศในพื้นที่สังเกตเห็นว่าหมอกควันจะฟุ้งกระจายเป็นสีขาวไปทั่วคล้ายหมอกในฤดูหนาว ท้องฟ้าเป็นสีขาวหม่น แต่เมื่อมันสะสมจนล้นหมอกควันเหล่านั้นจะลอยต่ำลงมา จนพื้นที่เป็นสีเหลืองอมส้ม มีอาการระคายคอ เคืองตา มีน้ำมูกไหล คัดจมูก แสบตาจนน้ำตาไหล ระยะการมองเห็นไม่เกิน 500 เมตร ฝุ่นพิษลอยต่ำสามารถเห็นได้ชัดเจน และเกิดขึ้นทุกปี ตอนนี้คนในพื้นที่กำลังเผชิญปัญหาสุขภาพเรื้อรัง ถ้าหากยังเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นทุกปี ร่างกายคงจะเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่สะสมสารพิษรอเวลาล้มป่วยลง การแก้ปัญหาหมอกควัน PM 2.5 คงจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ตราบใดที่คนในท้องถิ่นบางกลุ่มยังมีความเห็นแก่ตัว ไร้จิตสำนึกต่อสาธารณประโยชน์ และไม่คำนึงถึงผลเสียที่ตามมาหลายด้าน ปัญหานี้คงจะแก้ไขไม่ได้ และยิ่งจังหวัดที่ติดชายแดนสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ เพราะประเทศเพื่อนบ้านยังคงเผาไร่ถางพื้นที่ทางการเกษตรกรรม ซึ่งคงต้องเจรจาหรือมีมาตรการร่วมมือกันระหว่างประเทศ ถ้าหากไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาช่วยเหลือปัญหานี้กับพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติหมอกควัน ประชาชนคนธรรมดาแบบเราคงจะต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์กราบไหว้บนบานขอฝนให้เทตกลงมาชะล้างหมอกควันพิษให้จางหายไปและขอให้ผ่านพ้นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ นี้ได้ด้วยดี