Photo by Benjamin Davies on Unsplash หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า “สมองก็มองเห็นได้” เพราะดวงตาจะส่งภาพต่าง ๆ ไปยังสมองเพื่อให้รับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ดังนั้นการฝึกสมอง ฝึกคิดให้ระบบการทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้สมองเราแข็งแรงขึ้น Photo by David Matos on Unsplash วิธีการฝึกสมอง กำหนดเป้าหมายที่มองเห็น เช่น ตัวเลขบนปฏิทิน หรือตัวอักษรบนภาพโปสเตอร์ ยืนบริเวณที่สามารถเห็นเป้าหมายด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน หากมองเห็นชัดเจนแล้ว ค่อย ๆ ถอยหลังไปประมาณ 3-5 ซม. เพื่อให้มองเห็นไม่ค่อยชัด เมื่อทำแบบนั้นแล้วเป็นการปรับให้สมองพยายามมองเห็น หลักสำคัญในการฝึกคือ การกระตุ้นให้สมองทำงานและคิดว่า อยู่ตำแหน่งไหนก็สามารถมองเห็นได้ ค่อย ๆ ถอยหลังไปเรื่อย ๆ วันละประมาณ 1-5 ซม. Photo by Alina Grubnyak on Unsplash วิธีการฝึกสมองนี้จะช่วยหลอกให้สมองพยายามมองเห็นสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ช่วยให้สมองผ่อนคลาย ลดความเครียด และยังช่วยให้มีสมาธิดีขึ้น หากสมองทำงานได้ดี สารสื่อประสาทก็จะหลั่งออกมามากขึ้น ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและยังช่วยจัดระบบข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากเรื่องการฝึกสมองแล้ว การฝึกหายใจก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น แม้ว่าทุกคนจะหายใจเป็นเรื่องปกติ และมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาใครก็ทำได้ แต่การหายใจอย่างมีประสิทธิภาพให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดได้เต็มที่จะต้องทำให้ถูกวิธีดังนี้ Photo by Jeremy Bishop on Unsplash ตามหลักการหายใจที่ถูกต้อง มนุษย์ควรหายใจเข้าทางจมูก และหายใจออกทางปาก แต่หากหายใจเข้าทางปากเราจะเอาฝุ่นหรือแบคทีเรียเข้ามาด้วย หลักการของการหายใจเข้าลึก ๆ คือ ต้องเอาอากาศที่อยู่ในปอดออกไปให้หมด สิ่งที่หลายคนทำผิดคือ การหายใจเข้าลึก ๆ หลายคนคิดว่าต้องสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด แต่ความจริงแล้วเป็นสิ่งตรงกันข้าม เพราะสิ่งที่เราควรทำคือ “หายใจออกให้หมดเสียก่อน” หากเราหายใจออกจนหมดปอดแล้ว เราก็จะสามารถสูดอากาศเข้าไปใหม่ได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญคือ เราต้องหายใจเข้าออกโดยใช้เวลา 6 วินาทีขึ้นไป เพื่อให้เส้นใยกล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้น แข็งแรงขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การหายใจลึก ๆ หลาย ๆ ครั้งจะช่วยทำให้ระบบประสาทพาราซิมพาเทติกทำงานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ช่วยทำให้ออกซิเจนไหลเวียนไปทั่วร่างกายได้ดีขึ้น อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายก็จะทำงานได้ดีขึ้นตาม ๆ กันอีกด้วย Photo by v2osk on Unsplash ในแต่ละวัน สมองของเรารับข้อมูลมหาศาลจากแหล่งที่มาต่าง ๆ ไม่ว่าจะสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะยิ่งทำให้สมองอ่อนล้าและเพลียแรง ดังนั้นการผ่อนคลายสมองจากความตึงเครียดจะช่วยกำจัดความเหนื่อยล้าที่ไม่มีที่มาที่ไป Photo by Firza Pratama on Unsplash การทำสมาธิหลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องยาก แต่การทำสมาธิเพื่อให้สมองผ่อนคลายไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแค่คุณหลับตา ไม่ให้ดวงตาส่งภาพต่าง ๆ ไปยังสมอง แล้วจินตนาการภาพต่าง ๆ ที่ทำให้คุณมีความสุข หรือสนุก ภาพวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม หรือจินตนาการภาพขึ้นเองก็ได้ หากเป็นภาพที่ทำให้เรามีความสุข ก็ถือว่าได้ทำสมาธิให้สมองผ่อนคลายแล้ว และควรหมั่นทำ 1-5 นาทีระหว่างวันควบคู่กับการหายใจอย่างถูกต้องตามหลักการ