หิ่งห้อยในบ้านเรา นับวันก็หาดูยากมากแล้ว เนื่องจากสภาพบ้านเมืองที่บีบให้พื้นที่ป่า ถูกแทนที่ด้วยตึกราม อาคาร และผู้คน บรรดาสัตว์และแมลงทั้งหลายที่อาศัยในป่า ก็พลอยพากันสูญหายไปด้วย หลายคนก็ไม่รู้จะไปหาหิ่งห้อยได้ที่ไหน วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การค้นหาหิ่งห้อยในพื้นที่ละแวกบ้านให้ฟังกัน ถ้ามีกล้องถ่ายภาพก็จัดเตรียมไว้รอเลย จะพาไปถ่ายภาพหิ่งห้อยด้วย มาเล่าเรื่องหิ่งห้อยแป้ปนึง คือหิ่งห้อยเนี่ยปีนึงมันจะปล่อยแสงออกมาในช่วงฤดูผสมพันธุ์กันเท่านั้น ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวคือช่วงเดือนมิถุนายน จนถึงเดือน กรกฎาคม นั่นหมายถึงช่วงเวลาที่เหมาะที่จะล่าภาพ หรือออกไปดูแสงหิ่งห้อย ก็คือช่วงเวลาสามเดือนนี้เท่านั้น และหิ่งห้อยตัวเต็มวัยพร้อมผสมพันธ์ุเหล่านี้มันจะไม่กินอาหารช่วงนี้เลย มันจะกินแค่น้ำค้างที่มีตามใบไม้ใบหญ้าเท่านั้นเอง มหัศจรรย์มาก แต่นี่ก็เป็นเคล็ดลับของเราในการที่จะค้นหาแหล่งที่อยู่ของเหล่าหิ่งห้อยนี้ ใช่แล้ว แถวบ้านคุณก็อาจจะมีหิ่งห้อย ถ้าคุณจะลองสังเกตุสิ่งเหล่านี้ประกอบเข้าด้วยกันวิธีการหาที่อยู่หิ่งห้อย* อย่างแรกคือพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ มีต้นไม้ มีต้นหญ้าความสูงเรี่ยพื้น ไม่สูงมาก โอกาสที่จะเจอหิ่งห้อยสูงมาก ถ้าป่ามีต้นไม้แต่พื้นเป็นดิน ไม่มีหญ้าเลย ไม่ต้องไปหาให้เมื่อย ตัวอย่างในภาพนี้เป็นป่ายางพาราที่ปลูกในเขตชุมชน เรียกว่าติดถนนคอนกรีตเลย ใต้ต้นยางก็จะมีไม้พุ่มเตี้ยๆ มีหญ้าขึ้นปกคลุมเต็ม มีหนองน้ำเล็กๆ ห่างจากจุดนี้ไปราว 5-6 ร้อยเมตร เล็งตรงนี้เอาไว้เลย* รอช่วงอากาศเย็น ฝนทำท่าตั้งเค้า ประมาณนี้ สภาพอากาศแบบนี้จะทำให้น้ำด้างเกาะตามใบไม้ ใบหญ้า เป็นแหล่งของกินให้หิ่งห้อยผู้ซึ่งไม่กินอะไรอื่นเลยนอกจากน้ำค้าง ซึ่งพวกมันจะพากันออกมาเผยโฉมแน่ๆ หรือในวันนั้นหากมีฝนตกช่วงเช้า หรือตกก่อนพลบค่ำแล้วหยุดไป นั่นก็คือเวลาทองของเรา หิ่งห้อยจะออกมาเปล่งแสงเมื่อตอนฟ้ามืดแล้วเท่านั้น ถ้าหกโมงเย็นยังสว่างอยู่ บางทีก็รอจนทุ่มนึงถึงจะเริ่มเห็นกันเตรียมอุปกรณ์ถ่ายภาพ* กล้องถ่ายภาพ ปัจจุบันน่าจะเป็นกล้องดิจิตอลหมดแล้ว ใช้กล้องที่มีโหมด M หรือโหมดที่ให้เราสามารถตั้งค่าการถ่ายภาพเองได้ * เลนซ์ที่มีความไวแสง หรือเลนซ์ที่มีค่า F น้อยๆ เช่น เลนซ์ 20/f1.4, 30/f1.4, 50/f1.4 เนื่องจากแสงหิ่งห้อยนั้นค่าความสว่างมันน้อยมากๆ ถ้าเป็นเลนซ์ที่ไม่ไวแสงมากๆ การจับภาพแสงหิ่งห้อยก็จะได้น้อยตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เลนซ์คิทติดกล้องก็ถ่ายได้ เพียงแต่คุณภาพไฟล์ที่ได้ก็จะไม่เท่าเลนซ์พวกนี้เท่านั้นเอง* ขาตั้งกล้อง อันนี้จำเป็น เพราะในการถ่ายภาพในบริเวณที่แสงน้อย เราต้องการให้ตัวกล้องนิ่งมากที่สุด* รีโมทลั่นชัตเตอร์กล้อง ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ ปรับตั้งเวลาถ่ายภาพในตัวกล้องเอา* ชุดกันฝน ยาทากันยุง ป่าเมืองไทยคุณก็รู้ ยุงเยอะกว่าหิ่งห้อยแน่ๆ เดี๋ยวจะไม่ได้ภาพเพราะยุงกัดจนทนไม่ไหวการตั้งค่าตัวกล้อง* เราจะปรับค่าการถ่ายภาพหลักๆ 3 อย่าง คือ ค่าความเร็วชัตเตอร์ (Speed) ค่าระยะความชัดตัวเลนซ์ Aperture(A) หรือค่า (F) นั่นเอง และค่าความไวแสง (ISO)* ค่าความเร็วชัตเตอร์ ตัวอย่างในภาพ ต้องการให้มีแสงหิ่งห้อยเยอะๆ คือหิ่งห้อยมันเปล่งแสงกระพริบอยู่แล้ว ถ้าเราใช้ค่าความเร็วชัตเตอร์ต่ำๆ ช้าๆ เราก็จะเก็บแสงมันได้เยอะขึ้น ภาพนี้ตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ที่ 4 วินาที นั่นหมายความว่าถ้าหิ่งห้อยตัวหนึ่งเปล่งแสงทุก 1 วินาที แล้วบินผ่านมาในระยะภาพจนครบ 4 วินาที เราจะได้ภาพแสงหิ่งห้อยตัวนั้น 4 จุดแสงในภาพ ถ้ามีหลายตัวก็จะคูณเข้าไป เราจะได้จุดแสงหิ่งห้อยเยอะๆ* ค่าระยะความชัดตัวเลนซ์ Aperture(A) หรือค่า F ของตัวเลนซ์ ให้ตั้งค่าต่ำสุดของเลนซ์ที่เรามี มี 1.4 ก็ใช้ไป มี 3.5 ก็ทนๆ ใช้ไป ถ่ายภาพได้เช่นกัน* ค่าความไวแสง(ISO) หมายถึงค่าความไวแสงของตัวเซนเซอร์กล้องที่รับแสงจากภาพเข้ามาในตัวกล้อง ตัวนี้สำคัญสำหรับการถ่ายภาพหิ่งห้อย ค่าอื่นๆ ให้ตั้งตามที่กล่าวมา ส่วนค่า ISO ให้เราปรับเอาตามสภาพแสงจริงตอนนั้นๆ บอกเป๊ะไม่ได้ ให้เริ่มที่ ISO 400 ก่อนก็ได้ ถ่ายภาพมาดูสักภาพ ถ้าภาพที่ได้มืดเกินไปก็ปรับ ISO เพิ่มขึ้น แต่ถ้าสว่างเกินไปก็ปรับค่าให้ลดลง ง่ายๆ แค่นั้น (ถ้าใช้กล้องฟิล์มเสียใจด้วย ต้องรอลุ้นเองตอนล้างฟิล์ม)* การตั้งจุดโฟกัส ตั้งโฟกัสตรงกลางภาพได้เลยไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะ ช่วงนี้โอกาสดี มีเวลาลองสำรวจแถวบ้าน ออกล่าภาพหิ่งห้อยกันน๊า** ภาพประกอบจากผู้เขียน#หิ่งห้อย #แหล่งที่อยู่หิ่งห้อย #การถ่ายภาพหิ่งห้อย