สวัสดีครับเพื่อน ๆ ทุก ๆ ท่าน รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยกับการที่จะได้เขียนบทความในครั้งนี้ ที่ตื่นเต้นนั้นก็เป็นเพราะ เป็นบทความแรกของผมที่ได้เขียนเพื่อให้คนที่ชอบและรักการอ่าน ได้อ่านกัน บทความต่าง ๆ ที่ผมจะเขียนขึ้นต่อไป ล้วนเกิดจากการที่ผมได้สัมผัสและรับรู้มาจากการประกอบอาชีพของผม ก่อนอื่นผมขออนุญาตแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อภาณุพงศ์ วรรณวงศ์ อายุ 49 ปี ประกอบอาชีพทนายความครับ ซึ่งในการประกอบวิชาชีพทนายความนั้นหากมีใครมาว่าจ้างให้เราว่าความให้ จะถือว่าเราเป็นตัวแทนของเขา ไม่ว่าจะอยู่ในฐานที่เป็นตัวแทนของโจทก์หรือของจำเลย ซึ่งมีขั้นตอนในการดำเนินคดีต้องยุ่งยากมาก เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับเรื่องที่จะเขียนในครั้งนี้จะเป็นเรื่องเช่าซื้อรถยนต์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารถยนต์เป็นสิงที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันพวกเรามาก และถือว่าเป็นปัจจัยที่ 5 เหมือน ๆ กับโทรศัพท์มือถือ เพราะการใช้ชีวิตของพวกเราก็เกือบทั้งวันอยู่ก็อยู่ในรถยนต์กันสะส่วนใหญ่ การที่เราจะได้รถยนต์มาไว้ในครอบครองและใช้ประโยชน์นั้น ก็ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบของบริษัทไฟแนนซ์ ที่จะตรวจสอบสถานะทาง การเงินถึงขีดความสามารถในการผ่อนชำระค่างวดในแต่ละงวดของการเช่าชื่อรถยนต์ ว่าเรามีความสามารถผ่อนให้บริษัทไฟแนนซ์ได้จนครบจบงวดไหม ซึ่งในส่วนนี้ผมจะไม่กล่าวถึงรูปภาพจาก www.pexel.com ลักษณะของสัญญาเช่าซื้อนั้นเป็นลักษณะอย่างไร สัญญาเช่าซื้อคือ "สัญญาซึ่งเจ้าของทรัพย์สินเอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเท่านั้นเท่านี้คราว สัญญาเช่าซื้อถ้าไม่ทำเป็นหนังสือตกเป็นโมฆะ " นี่คือลักษณะของสัญญาเข่าซื้อ สัญญาเช่าซื้อจึงมีผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยกัน 2 ฝ่ายคือ ผู้ให้เช่าซื้อกับผู้เช่าซื้อ สรุปง่าย ๆ ก็คือ เจ้าของรถยนต์ก็คือบริษัทไฟแนนซ์หรือเรียกว่า"ผู้ให้เช่าซื้อ" ส่วนพวกเราเขาจะเรียกว่า " ผู้เช่าซื้อ " ส่วนรถยนต์นั้นเป็นทรัพย์สินที่เช่าซื้อ ต่อมาหลังจากทำสัญญาเช่าซื้อกันแล้ว บริษัทไฟแนนซ์ก็จะส่งมอบรถยนต์ให้เรา เมื่อเรารับรถยนต์มาแล้ว เราก็มีหน้าที่ต้องผ่อนชำระค่ารถยนต์ตามที่ตกลงไว้กับบริษัทไฟแนนซ์ ซึ่งกรรมสิทธิ์รถยนต์ยังเป็นของบริษัทไฟแนนซ์ และกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่ได้ตกมาเป็นของเราแต่อย่างใด จะตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเราก็ต่อเมื่อเราผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ครบถ้วนแล้ว บริษัทไฟแนนซ์ก็จะทำการโอนกรรมสิทธ์ในรถยนต์มาเป็นของเราอีกทีรูปภาพจาก www.pexel.com หากเราผ่อนชำระค่างวดรถยนต์จนครบถ้วนแล้วมันก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ที่มีปัญหาจนบริษัทไฟแนนซ์ต้องฟ้องร้องผู้เช่าซื้อและมีคดีขึ้นสู่ศาลเป็นจำนวนมากในปัจจุบันนี้ก็เพราะ ผู้เช่าชื่อผ่อนชำระราคาค่างวดไม่ไหว บริษัทไฟแนนซ์ก็เลยฟ้องเรียกค่างวดที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระอยู่ ซึ่งส่วนมากบริษัทไฟแนนซ์ก็จะฟ้องเรียกให้ผู้เช่าซื้อชำระก็จะมี ค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อค้างชำระ ค่าขาดประโยชน์ ค่าเสียหาย ค่าติดตามทวงถาม หลัก ๆ ประมาณนี้ ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่เกิดขึ้นจริงที่จังหวัดนครสวรรค์ เรื่องก็มีอยู่ว่า หลังจากที่ผู้เข่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตามที่ตกลงในสัญญาเช่าซื้อ บริษัทไฟแนนซ์ก็ไม่ได้บอกกล่าวเลิกสัญญากับผู้เช่าซื้อแต่อย่างใด พร้อมทั้งได้ยึดรถยนต์กลับคืนไปแล้ว จากนั้นบริษัทไฟแนนซ์ก็ได้ฟ้องร้องผู้เช่าซื้อ โดยเรียกร้องเอาค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อค้างอยู่ ค่าขาดประโยชน์ ค่าเสียหาย ซึ่งคดีนี้ ก็ต่อสู้กันระหว่างบริษัทไฟแนนซ์กับผู้เช่าซื้อตั้งแต่ศาลชั้นต้น ชันอุทธรณ์ จนมาถึงศาลฎีกา ศาลฎีกาก็มีคำวินิจฉัยตาม คำพิพากษาศาลกีกาที่ 8619/2559 " เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่างวดติดต่อกัน 3 งวด ตามสัญญาเช่าซื้อ บริษัทไฟแนนซ์ ต้องบอกกล่าวเลิกสัญญากับผู้เช่าซื้อ แต่บริษัทไฟแนนซ์ไม่บอกเลิก กลับยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อไปแล้วและผู้เช่าซื้อก็ได้คือรถยนต์ไปให้บริษัทไฟแนนซ์แล้ว ถือว่าการที่บริษัทไฟแนนซ์ยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อ ไปกับการที่ผู้เช่าซื้อคืนรถยนต์ไป เป็นการตกลงเลิกสัญญากันระหว่างบริษัทไฟแนนซ์กับผู้เช่าซื้อโดยปริยาย ดังนั้นเมื่อเลิกสัญญากับแล้ว ผู้เช่าซื้อจึงไม่ต้องรับผิดค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอยู่ " แต่ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดในค่าขาดประโยชน์ ค่าเสียหาย แต่จะมากน้อยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า รถยนต์นั้นเก่าหรือยัง ใช้งานมานานมากไหม รูปภาพจาก www.pexel.com สรุปได้วา เมื่อเราคืนรถยนต์ที่เช่าชื้อให้กับบริษัทไฟแนนซ์ไปแล้ว ถือว่าสัญญาเช่าซื้อที่ทำกันไว้เป็นอันยกเลิกโดยปริยายผู้เช่าซื้อจึงไม่ต้องรับผิดค่าเช่าซื้อส่วนที่ค้างชำระอยู่ จากบทความนี้ ผมหวังว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย ต่อไปผมจะพยายามเขียนบทความที่เกี่ยวกับกฎหมายที่เราเจอในชีวิตประจำวัน นำมาลงให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันเรื่อย ๆ นะครับ ขอบคุณนะครับที่ติดตาม