สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะมาแชร์ประสบการณ์การเที่ยวต่างประเทศแบบไปด้วยตัวเองครั้งแรกในชีวิตกัน ก็คือเราไปกับเพื่อนสองคน ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้าที่เราจะไปปีนังเนี่ยเราทั้งคู่เคยไปมาเลเซียกันมาแล้ว แต่ว่าไปแบบอาจารย์พาไปไม่ได้ไปกันเองไง ตอนนั้นแพลนเที่ยวต่าง ๆ ที่พักเอยอะไรเอย อาจารย์ก็จะเป็นคนจัดให้ มีรถเรียบร้อย แต่คราวนี้ทุกอย่างคือจัดการเองหมดเลยจ้า เราจะไม่เน้นเรื่องสถานที่นะเพราะอยากให้ไปเห็นด้วยตาตัวเองกันมากกว่า เพราะเค้าบอกไว้ว่า "สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็นหรอก" แต่จะเน้นเล่าเหตุการณ์ที่เราเจอมากว่านะมาแบ่งปันกันเผื่อใครจะไปจะได้ไม่พลาดพลั้งแบบเรา 555555 การไปปีนังครั้งนี้คือไปแบบปุบปับมาก พอเพื่อนทักมาถามว่าจะไปปีนังมั้ย ก็ตอบตกลงเลยเพราะอยากทดสอบสกิลภาษาอังกฤษเพื่อการเอาตัวรอดของตัวเองดูด้วย ตอนนั้นที่พร้อมมีแค่ passport อย่างเดียวเลย อย่างอื่นคือเป็นศูนย์ มีเวลาเตรียมตัวประมาณอาทิตย์กว่า ๆ เอง จากนั้นก็จัดการหารีวิวอ่านก่อนเลย 555 พอศึกษาอะไรเสร็จตกลงกันได้ว่าจะไปซัก 2 วัน 1 คืน แล้วก็แบ่งกันจัดการ เพื่อนเราจัดการจองที่พักส่วนเราก็จัดการเรื่องรถที่จะไป ขาไปเราเลือกไปด้วยรถตู้ และกลับรถไฟกัน เราโทรไปจองรถตู้ไว้ก่อน ของบริษัท KST Travel ที่หาดใหญ่ แจ้งวัน แจ้งรอบที่จะไป แล้วก็โอนเงินอะไรให้เรียบร้อย อ่อเค้าจะมีรถออก 3 รอบ ก็คือ เก้าโมงครึ่ง เที่ยงครึ่งแล้วก็บ่ายสามครึ่ง ใครจะใช้บริการทั้งขาไปขากลับก็ได้ แต่เราเลือกแค่ขาไปเพราะอยากได้ประสบการณ์หลาย ๆ แบบ ส่วนเพื่อนที่จองที่พักก็โอนค่ามัดจำไปก่อนแล้วค่อยไปจ่ายตังอีกทีตอนจะ Check in จากนั้นจัดการแลกเงินให้เรียบร้อย เราแลกไป 3,000 บาท พอถึงวันเดินทางเราเตรียมสัมภาระกันไปให้น้อยที่สุด ขับมอเตอร์ไซค์ไปที่จุดนัดขึ้นรถ เกือบไม่มีที่ฝากรถเพราะปกติมีแต่ที่รับฝากแต่รถยนต์ แต่พี่ที่ดูแลคิวรถใจดีเลยรับฝากรถไว้แบบฟรี ๆ ไม่ต้องจ่ายเงิน เรามีเพื่อนร่วมเดินทางทั้งหมด 7 คน รวมพี่คนขับด้วยก็ 8 คน ก็ออกเดินทางจากหาดใหญ่กันเวลาเก้าโมงครึ่ง (เพราะว่าสมาชิกที่จะร่วมเดินทางมาตรงเวลาเราเลยได้ออกรถกันตรงเวลา) ข้ามด่านที่สะเดาแล้วก็เข้าสู่ประเทศมาเลเซีย เราหลับเกือบตลอดทางเพราะว่าง่วงจากการตื่นเช้าเลยเก็บแรงเอาไว้ก่อน พอตื่นมาอีกทีสองข้างทางคือป่า สวนยาง และนา มีสลับกับสวนปาล์ม ตอนแรกคือตกใจนี่พี่คนขับพาเรากลับไทยหรือเปล่า ทัศนียภาพสองข้างทางไม่ต่างจากบ้านเราเลย 55555 เพราะทางที่พี่คนขับรถพาไปเป็นถนนเลนสวนสองเลน ไม่ใช่ถนนหลัก น่าจะเป็นทางลัดแหละ ก็ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบ ต่างจากที่คิดไว้นิดหน่อย แต่เราก็ชอบนะ พอเข้าสู่ทางหลักที่น่าใกล้จะถึงปีนังก็มีทุ่งนาตลอดสองข้างทางเลย เป็นทุ่งนาที่เรารู้สึกว่ามันสวยดูเป็นระเบียบเสียดายเราไม่ได้ถ่ายรูปมา และถึงตอนไฮไลท์ของการเดินทางด้วยรถยนต์เข้าสู่เกาะปีนัง เฮ้ยมันสวยมาก เราขับผ่านสะพานที่มีวิวด้านนอกสองข้างเป็นทะเลที่สุดลูกหู ลูกตา น้ำทะเลสีฟ้าครามสะท้อนแดดตอนบ่ายระยิบระยับและวิวตรงหน้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ คือเกาะปีนัง จุดหมายของเราค่อย ๆ ชัดขึ้น ๆ มันเป็นภาพที่น่าประทับใจมากจริง ๆ ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงพี่คนขับก็พาแต่ละคนไปส่งยังที่พัก เราสองคนได้ลงเป็นสองคนสุดท้ายเพราะพวกเราเลือกพักแถวย่าน Little India ที่พักเป็นแบบคล้าย ๆ Home stay อ้ะ ๆ!!อาจมีคนสงสัยว่าทำไมเลือกแถวนี้ มันมีดีอะไร บอกตรงนี้เลยว่า จองผิดที่!! 5555 ที่อ่านรีวิวกับอันที่ได้ไม่เหมือนกันเฉย แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายนะ เจ้าของเป็นคนอินเดียเป็นผู้ชายด้วยพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดีย บวกกับพวกเราที่ภาษาอังกฤษงู ๆ ปลา ๆ คือแบบเอ๋อไปแปบนึงแต่ก็สื่อสารกันเข้าใจได้ บังเค้าให้แผนที่มาอันนึงแล้วอธิบายนู่นนี่ แบบพวกที่เที่ยว ป้ายรถเมล์ อะไรแบบนี้ ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ว่ากันไป ที่พักนี้ดีอยู่อย่างนึงคือใกล้ Street Art หลังจากเก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยเราก็จะออกเดินทางผจญภัยกัน ที่แรกที่จะไปคือ Street Art เรียกได้ว่างมทางก็ได้เพราะอยู่แบบไม่รู้เหนือรู้ใต้อะไรเลย มีแค่แผนที่ที่บังให้ กับแอปในโทรศัพท์ที่ไร้อินเตอร์เน็ต หลงทางด้วยนะ (อ้อจะบอกว่าตอนแรกตัดสินใจไม่ซื้อซิมเน็ตไปจากไทย เพราะกะว่าคงไม่เล่นเน็ตอะไร ถ้าจะใช้ก็ใช้ Wifi ที่พักเอา ก็โหลดแอปแผนที่แบบไม่ต้องใช้เน็ตที่เค้าแนะนำในรีวิวไว้) แต่ถ้าจะให้เราแนะนำอยากบอกว่า ซื้อไปจากไทยเถอะค่ะ ซิม To Fly ของ AIS เลยค่ะ คุ้มค่ะนี่ไม่ได้ค่าโฆษณาเลยนะ เพราะชีวิตที่ขาดอินเตอร์เน็ตเหมือนขาดใจเลยค่ะ เราเลยตัดสินใจซื้อซิมเน็ตจากร้านแบบคล้าย ๆ พวกดีมาร์ท ก็ได้หายใจต่อเพราะมีอินเตอร์เน็ตแล้ว สำหรับทริปนี้อยากจะบอกว่าขอให้ Google map จงเจริญค่ะ ถึงจะพาหลงบ้างแต่ก็พึ่งพาได้เสมอ 5555 หลังจากเที่ยวชื่นชม Street Art จนหนำใจแล้ว เราก็จะไปที่ ไชน่าทาวน์กันต่อค่ะ ช่วงเวลาตื่นเต้นมาอีกแล้วค่ะ นั่นก็คือเราต้องขึ้นรถเมล์ค่ะ ยากกว่าหาว่าขึ้นรถเมล์สายไหนคือ เราต้องไปขึ้นตรงไหนคะ ศรีงง ศรีสับสน เราเปิดแผนที่แล้วก็หาจุดขึ้นรถ แต่ก็หาไม่เจอทำไงล่ะทีนี้ อยากบอกทุกคนตรงนี้ไว้เลยว่า อาวุธที่สำคัญในการใช้ชีวิตในต่างแดนหรือในที่ที่เราไม่รู้จักแบบนี้ก็คือ "ปาก" ค่ะ ถามเลยค่ะไม่ต้องอาย เราถามอาม่าคนนึงที่นั่งแถวที่เราเดินผ่าน อ่าม่าก็บอกจุดขึ้นรถให้เราว่าอยู่แถวเซเว่น เราก็ทำการขอบคุณอ่าม่าและยิ้มงาม ๆ ให้หนึ่งที (แต่จากประสบการณ์ถ้าจะถามเรื่องรถเมล์สายไหนไปไหนที่ปีนัง แนะนำให้ถามคนมีอายุหน่อยนะ เพราะคนหนุ่ม ๆ เขาไม่ค่อยขึ้นรถเมล์กัน อาม่าจะเก๋ากว่าในเรื่องเส้นทางเดินรถ) เราก็มาถึงไชน่าทาวน์เดินเล่นชมความงามของบ้านเมืองเขาจนพอใจก็ได้เวลาออกหากินแล้วค่ะ เราหิว เราต้องการอาหาร ตอนแรกเราไม่ได้ แพลนนะว่าจะไปทานข้าวเย็นที่ไหนแบบกะว่าเจอร้านอะไรก็ค่อยทานเอา หรือทานในเซเว่นอะไรก็ว่าไปแล้วค่อยกลับที่พัก พอดีเป็นคนอยู่ง่าย ทานง่าย 5555 แต่เพื่อนเราเสิร์ชหาแล้วก็อยากไปตลาดกลางคืนของปีนัง อุตส่าห์มาทั้งทีก็ต้องใช้เวลาเที่ยวให้คุ้มค่า เพื่อนว่าไงก็ว่าตามกัน ไปก็ไปค่ะ เราไปตลาด Gurney Drive กันค่ะ การเดินทางก็ราบรื่นดีมีหลงนิด ๆ หน่อย ๆ ตอนเดินหาว่าตลาดอยู่ไหน และแล้วเราก็ไม่พลาดค่ะมีช่วงเวลาตื่นเต้นอีกจนได้ 5555 นั่นคือตอนขากลับเราก็ต้องขึ้นรถเมล์กลับ และเราก็เปิดพี่ Google map ค่ะว่าเราต้องไปรอรถตรงไหน เราก็เดินไปรอกันรอแล้วรอเล่ารถสายที่จะขึ้นก็ไม่มาสักที จนมันดึกแล้วใจหวิว ๆ เพราะกลัวรถหมด บุญยังมีเพื่อนหันไปเห็นรถสายที่ต้องขึ้นอยู่บนถนนอีกเส้น (คือตรงนั้นมันใกล้สี่แยก) เลยตัดสินใจเดินไปถามร้านแถวนั้นเค้าก็บอกว่าจริง ๆ ต้องขึ้นถนนอีกเส้นนึง จังหวะข้ามถนนรถสายที่ต้องขึ้นมาพอดี คือลุ้นมากว่าจะเลยป้ายก่อนที่เราจะข้ามถนนได้มั้ย โอ้ย!!! เป็นอะไรที่ตื่นเต้นสุด ๆ สุดท้ายก็คือทัน และได้เรียนรู้อีกอย่างก็คือรถเมล์ปีนังไม่มีตังทอนนะจ๊ะ ต้องเตรียมตังค์ให้พอดี ตอนแรกจะแยกจ่ายกับเพื่อนแต่บังคนขับบอกให้จ่ายรวมกันมาเลย ๆ บังไม่มีทอนให้จ้า(รถเป็นเครื่องเก็บเงินอัตโนมัติ หยอดเงินไปเราก็จะได้ตั๋วมา) ตอนอยู่บนรถเมล์ได้เมาท์กับคุณลุงผู้โดยสารด้วยลุงเค้าชวนคุยเพราะเห็นเราเอ๋อ ๆ เลยดูออกว่าไม่น่าจะชำนาญเส้นทางแถวนี้ พอรู้ว่ามากจากไทยลุงคุยใหญ่เลยว่าลุงก็เคยไปเที่ยวกระบี่ด้วยนะ และก็โม้กันมาตลอดทางเลย 5555 ลุงบอกว่าคนไทยเป็นเพื่อนที่ดีด้วย คุยกันเพลินเหมือนรู้จักกันมานานด้วยสกิลภาษาอังกฤษแบบหางอึ่งของเรานี่แหละ จนถึงป้ายที่เราต้องลงเลยบอกลาคุณลุง ถึงที่พักโดยสวัสดิ์ภาพอาบน้ำนอนเลยจ๊ะคืนนั้น หลับสนิท จบกันไปกับวันแรกมีทั้งเรื่องตื่นเต้นและประทับใจ หลับไปพร้อมกับความคิดว่าพรุ่งนี้เราจะเจอเรื่องราวอะไรอีกนะ มาต่อกันวันที่สองแพลนของเราคือไป Penang Hill และขึ้นรถไฟกลับหาดใหญ่ เราตื่นเช้ามากออกจากที่พัก Check out อะไรเรียบร้อยก็เดินไปขึ้นรถเมล์ที่สถานีปล่อยรถเลยเป็นสถานีใหญ่ตามที่บังเจ้าของที่พักบอกทาง บวกกับผู้สนับสนุนเดิมก็คือ Google map ตอนขึ้นคือมีผู้โดยสารอยู่สองคนคือเรากับเพื่อนเหมือนเหมารถเที่ยวเลย พอรถขับไปเรื่อย ๆ ก็มีผู้โดยสารขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเต็มคันรถ ระหว่างทางไปปีนังฮิลล์ก็จะผ่านตลาด ผ่านหมู่บ้านชุมชนของคนปีนังให้เราได้เห็นวิถีชีวิตตอนเช้าของพวกเขา ถึงปีนังฮิลล์เป็นป้ายสุดท้ายของรถสายนี้เราก็ลงไปซื้อตั๋วรถไฟขึ้นปีนังฮิลล์ ได้มาเป็นการ์ด อันนี้จะใช้ทั้งขาไปแล้วก็ขากลับ แล้วเราก็ไปเข้าแถวรอขึ้นรถไฟ ใจจริงอย่างอยู่หน้าสุดมากเพราะอยากเห็นวิวตอนขึ้น แต่ไม่ทันพี่จีนเลยได้ยืนหลัง ๆ แต่ก็เห็นวิวข้าง ๆ นิดหน่อย ขึ้นไปถึงก็เดินเที่ยวชมความงดงามของเมืองปีนัง ดูนั่นดูนี่ถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลากลับ ช่วงเวลาระทึกใจมาอีกแล้ว 555 เราทำการ์ดที่เป็นตั๋วรถไฟหายจ้า เกือบร้องไห้ หาทุกกระเป๋าแล้วก็ไม่เจอ เลยไป speak English กับพี่เจ้าหน้าที่ได้ความมาว่าให้ไปซื้อตั๋วใหม่ ขาลงเค้าก็มีช่องขายตั๋วอยู่ เหนือสิ่งอื่นใดคือเสียดายเงิน แล้วเรื่องตลกมันก็มีอยู่ว่าพอเราลงมาถึงข้างล่างแล้วไปนั่งทานข้าวเราเจอไอการ์ดนั้นในกระเป๋าเก็บเหรียญ น้ำตาจะไหลเลยตอนนั้น ทุกวันนี้ยังเก็บการ์ดใบนั้นไว้เป็นที่ระลึก 55555 (แนะนำว่าใครกลัวเจอเหตุการณ์แบบเราให้ซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียวก็ได้ แล้วขาลงก็ค่อยซื้ออีกที) ทานมื้อเที่ยงเสร็จเราจะกลับบ้านกันแล้ว ก็นั่งรถเมล์สายเดิมกลับมาสถานีปล่อยรถ เพราะอยู่ใกล้กับท่าเรือข้ามฟากลงรถก็เดินไปขึ้นเรือ แอบไกลอยู่เหมือนกันนะ พอมาถึงอีกฟากก็ไปซื้อตั๋วบัตเตอร์เวิอร์ธ ตอนเดินไปหาที่ขายตั๋วช่วงนี้เราใช้สกิลการสังเกตก็คือดูป้ายแล้วเดินตาม ๆ คนอื่นไป ซื้อตั๋วเสร็จนั่งรอให้รถไฟมาตอนนี้ก็กระวนกระวายใจนิดหน่อยเพราะว่าไม่รู้ว่าเราจะรู้ได้ไงว่ารถที่เราจะต้องขึ้นมายัง ก็อาศัยการตาม ๆ ฝูงชนไป เค้าลงไปที่ชานชลาเราก็ลงไปด้วย ก็ได้ขึ้นรถไฟบัตเตอร์เวิร์ธกลับมาลงสถานีปาดังเบซา ตอนนั่งรถไฟประทับใจสองข้างทางมาก คือเป็นทุ่งนาไม่ต่างจากบ้านเราเลย พอถึงปาดังเบซาเราก็ต้องต่อรถไฟไทยกลับหาดใหญ่ ตรงนี้มีความชุลมุนนิดหน่อย คือเราต้องแข่กับเวลาถ้าด่านที่นี่ปิดเราต้องเดินไปปั๊ม passport อีกที่นึงแล้วมันไกล ด้วยความมาครั้งแรกก็ไม่รู้ว่าต้องไปปั๊ม passport ที่ไหนก็เดินตามคนอื่น ๆ ไป แล้วก็มาเจอ ตม.ไทยก็เข้าแถวยืนปั๊ม ปรากฏว่าเรายังไม่ปั๊มขาออกจากมาเลเซีย ก็คือยังไม่ได้ออกจากมาเลเซียแต่เข้าไทยแล้ว ทีนี้ก็ต้องวุ่นนิดหน่อยเพราะพี่เจ้าหน้าที่รถไฟก็เร่งให้ไปซื้อตั๋วเพราะถ้าซื้อตั๋วแล้วรถจะรอเราเพราะตอนนั้นรถไฟจะออกแล้ว เราเลยต้องวิ่งไปซื้อตั๋วก่อนแล้ววิ่งกลับไปปั๊มออกจากมาเลเซียแล้ววิ่งกลับมา ตม. ไทยอีกที วุ่น ๆ นิดหน่อยแต่ก็สนุกดีและแล้วเราก็ได้ขึ้นรถไฟกลับหาดใหญ่อย่างรอดปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน การเดินทางครั้งนี้เป็นสิ่งที่เราท้าทายตัวเองมาก เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากมาย ได้พัฒนาตัวเอง เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เราจะผ่านมันไปได้อยู่ที่เราสามรถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีแค่ไหน แต่เราเชื่อว่าไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นจะหนักหนาแค่ไหน สุดท้ายทุกคนก็จะมีวิธีที่ดีที่สุดในตอนนั้นเพื่อจัดการปัญหานั้นแน่นอน อย่าไปกลัวปัญหามันไม่มีทางใหญ่ไปกว่าเราหรอก ปีนังยังเป็นเมืองที่น่าประทับใจเสมอ ถ้าเรามีโอกาสเราไม่พลาดที่จะเดินทางไปที่นี่อีกแน่นอน เหนือสิ่งอื่นใดจุดหมายของเราจะสวยงามแค่ไหน แต่เรื่องราวระหว่างทางก็น่าประทับใจไม่แพ้กัน (ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน)