นับเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสไม่แพ้จำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ทั้งการประกอบอาชีพที่ไม่คล่องตัวเหมือนในช่วงปกติก่อนหน้าและการตกงานของกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ส่งผลให้รายได้ของผู้คนส่วนใหญ่ต้องลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายจ่ายยังคงเท่าเดิมหรืออาจเพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้จึงยิ่งทำให้สถานการณ์ย่ำแย่และบั่นทอนสภาพจิตใจของผู้คนให้เต็มไปด้วยความวิตกกังวลต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นอย่างยิ่ง แต่การจะอยู่อย่างสิ้นหวังหรือยอมจำนนต่อผลกระทบที่กำลังเกิดขึ้น หรือแม้แต่การเฝ้ารอความช่วยเหลือแต่เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่วก็อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก การประคับประคองสติและค้นวิธีการ หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อฝ่าวิกฤตในครั้งนี้จึงเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้นมากกว่าการตำหนิติเตียนสิ่งรอบตัว หรือการท้อแท้สิ้นหวังต่อสิ่งที่กำลังพบเผชิญ "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" ถือเป็นเรื่องที่คนไทยส่วนใหญ่ล้วนเคยได้ยินได้ฟังกันมาช้านาน ในฐานะของการเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้ทรงพระราชทานแก่ปวงพสกนิกรไทยทุกหมู่เหล่า เพื่อคลายความทุกข์ยากจากการดำรงชีวิตท่ามกลางความโหดร้ายของกระแสทุนนิยมและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก แม้ว่าหลายคนอาจคุ้นชินกับคำว่า "เศรษฐกิจพอเพียง" กันมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติเรากลับไม่ค่อยเห็นหลักปรัชญานี้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเท่าใดนัก จึงเป็นคำถามที่น่าสนใจว่า หากเราดำเนินรอยตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาอย่างต่อเนื่องโดยตลอด การพบเจอกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างการระบาดของไวรัส COVID-19 หรือแม้แต่สถานการณ์วิกฤตอื่น ๆ เราจะมีความแข็งแรงมากพอที่จะไม่ถูกทำร้ายด้วยคำว่า "วิกฤต" หรือไม่ เนื่องจากหัวใจสำคัญของ "หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" คือการใช้ชีวิตบนทางสายกลาง หรือการใช้ชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท จึงทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยภูมิคุ้มกันที่พร้อมรับกับทุกสภาพปัญหา หากมองในอีกแง่มุมเราอาจใช้วิกฤต COVID-19 ในครั้งนี้ให้กลายเป็นโอกาสอันดีที่จะเริ่มต้นทบทวนชีวิต หรือเปลี่ยนแปลงวิธีคิดต่าง ๆ ให้มีความละเมียดละไมมากขึ้น โดยการนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ใครหลายคนอาจหลงลืมไปแล้วมาปัดฝุ่นใหม่ ซึ่งอันที่จริงเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ใช่ภาพของการทำไร่ไถนา หรือทำการเกษตร อยู่บ้านเลี้ยงสัตว์ เพาะเห็ด ขุดสระเลี้ยงปลา ฯลฯ เท่านั้น แต่เศรษฐกิจพอเพียงมีความหมายที่ครอบคลุมการใช้ชีวิตแทบทุกด้าน เริ่มต้นจากการปรับหลักคิด 3 ประการที่เกี่ยวโยงเชื่อมต่อกันด้วย "ความพอประมาณ" คือการรู้จักตนเอง ประมาณตนเอง เพื่อจะได้วางแผนเพิ่มเติมในสิ่งที่ขาดพร่อง และลดทอนในสิ่งที่ไม่สมควรในชีวิต "ความมีเหตุมีผล" ก็คือความจำเป็นของการทำสิ่งต่าง ๆ ว่าจะเกิดผลอย่างไร หรือมีประโยชน์อย่างไรต่อชีวิต ส่วน "ภูมิคุ้มกัน" คือผลที่เกิดขึ้นจากการรู้จักพอประมาณและความมีเหตุมีผล ที่จะกลายเป็นภูมิคุ้มกันให้กับตัวเราในการเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ แต่ทั้งนี้จะต้องเป็นไปภายใต้ฐานคิดของความรู้และคุณธรรมเป็นสำคัญ การฝ่าวิกฤตในครั้งนี้จึงควรเริ่มต้นด้วยการรู้จักตนเอง ทบทวนตนเองให้ได้ และมองสิ่งที่กำลังเป็นอยู่อย่างรอบด้าน จะทำให้เรามองเห็นชีวิตว่า อะไรคือสิ่งที่ควรลด ละ เลิก เช่น รายจ่ายที่ไม่จำเป็น ของฟุ่มเฟือยราคาแพง และอะไรที่ควรเพิ่มพูนสร้างเสริมขึ้นมา เช่น ทักษะความรู้ อาชีพเสริม เป็นต้น หลังจากนั้นจึงควรตั้งคำถามต่อไปว่า เราจำเป็นต้องทำสิ่งนั้น ๆ หรือไม่ ทำแล้วจะเกิดประโยชน์อย่างไร และทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ ตลอดจนการพยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุผล จะทำให้มองเห็นวิธีที่น่าจะนำไปสู่ความสำเร็จมากที่สุด เช่น จะทำอาชีพเสริมด้วยการปลูกผักขายออนไลน์ ก็ต้องไปหาเหตุผลที่จะทำให้เราขายได้ เช่น การสร้างความแตกต่าง การเป็นผักปลอดสารพิษ 100% กลยุทธ์ด้านราคา บรรจุภัณฑ์ การขนส่ง ฯลฯ ซึ่งจะต้องอาศัยการหาความรู้และการปรับวิธีคิดอย่างรอบด้านเพื่อให้ขายสินค้าได้ เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งสำคัญคือการตั้งมั่นการฝ่าวิกฤตในครั้งนี้ต้องยืนอยู่บนฐานของการมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่จะทำ ตลอดจนความรู้ความเข้าใจในการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง โดยจะต้องไม่เป็นการเบียดเบียนหรือทำร้ายใครให้เดือดร้อน ในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือผู้อื่นบ้าง จึงจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ทำให้เราฝ่าฟันวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ รวมทั้งวิกฤตภัยอื่น ๆ ที่รออยู่เบื้องหน้า เพราะในช่วงชีวิตของเราวิกฤติโรคระบาด COVID-19 อาจไม่ใช่วิกฤติครั้งสุดท้ายที่โลกต้องพบเผชิญ ภาพประกอบจาก unsplash ภาพหน้าปก, ภาพที่ 1, ภาพที่ 2, ภาพที่ 3, ภาพที่ 4, ภาพที่ 5