เครดิตภาพ : นักเขียน เมื่อช่วงที่โควิดระบาดอย่างรุนแรงในประเทศจีนเมื่อปลายปี2019 ข่าวที่แพร่ออกไปทั่วโลกสร้างความตื่นตะหนกแก่สายตาของผู้คน และส่งผลต่อความคิดต่อการระบาดของไวรัสนี้เป็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ความน่ากลัวมากน้อยแค่ไหน ข่าวปลอมหรือข่าวจริง ซึ่งช่วงนั้นเป็นที่ฮือฮามาก ความน่ากลัวของไวรัสมัจจุราชตัวนี้มันรุนแรงอย่างที่แชร์ในโลกโซเชียลจริงมั้ย ช่วงแรกของการเกิดโควิดมันทำให้มีประเด็นหลาอย่างที่ตามมา ซึ่งทำให้คนทั่วโลกยากที่จะรับมือและตั้งตัวที่จะรับมือ บางความคิดก็มีความคิดเห็นว่าเป็นการปั่นข่าวทางโซเชียล จากภาพที่คนทั่วโลกได้รับรู้ มันยากจะทำความเข้าใจ และเกิดความหวาดระแวงกันอย่างหนัก ในช่วงสถานการณ์โควิดระบาดขนาดหนักที่ประเทศจีน ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่คิดว่าโควิดมันยังห่างไกลจากชีวิตฉันมาก ในความเชื่อและในความคิดไม่คิดเลยว่ามันจะระบาดและลุกลามไปสร้างความเสียหายให้กับคนทั่วโลกได้มหาศาบขนาดนี้ ช่วงนั้นฉันอยู่ที่อิตาลีซึ่งมันอยู่คนละขั้วโลกกับประเทศจีน และแม้แต่ประเทศไทย มุมมองที่มีคือประเทศไทยต่างหากที่น่าเสี่ยงและเกิดความกังวลกับครอบครัวที่อยู่เมืองไทย ข่าวคนจีนหนีอพยพเข้าประเทศไทยในช่วงโควิดระบาดเป็นจำนวนมากเพราะหนีตายจากเชื้อไวรัสนี้ ฉันคิดว่ากว่าจะมาที่อิตาลีมันคงเป็นไปได้ยากมาก จนมาถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีข่าวการติดเชื้อโควิดที่อิตาลีที่บริเวณเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง ทำให้คนอิตาลีเกิดความตกใจและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก ซึ่งฉันเองก็เช่นกัน คำถามที่ว่า มันมาได้อย่างไร ในวันที่มีข่าวมาว่าไวรัสมาถึงอิตาลี เมืองที่ห่างจากแคว้นที่เราอยู่ก็ยังคิดว่าคงมีการควบคุมได้ถึงจะมีจำนวนคนติดเชื้อใตเมืองเล็กๆนี้เกือบทุ้งเมืองและมึการแปิดเมืองตรวจสอบคนเข้าออกอย่างเคร่งครัด จำได้ว่าวันนั้นฉันยังออกไปเที่ยวและเดินป่า ซึ่งในใจคิดว่า หนีเข้าป่าดีกว่าห่างไกลจากผู้คน หลังจากกลับมาถึงบ้าน ในใจก็ยังเกิดความกลัวในช่วงเวลานั้นเองดูเหมือนว่ามีจำนวนคนติดเชื้อมากขึ้นและสิ่งที่ได้ยินต่อจากนั้นคือ ไวรัสมาระบาดในหมู่บ้านไกล้ๆย้านของฉันนั่นเอง เชื่อมั้ยคะว่าหลังจากที่ได้ยินข่าวเช่นนี้พวกเรามีความจดจ่อในการติดตามข่าวอย่างต่อเนื่อง ชั่วโมงต่อชั่วโมง หลังจากนั้นแค่เพียง 3 ชั่วโมง ผู้คนตื่นตะหนกตกใจกันทั้งระแวกนั้น แค่ 1 กิโลเมตร จากบ้านที่ฉันอยู่ 3 ชั่วโมง เปลี่ยนชีวิตเพราะโควิดระบาด เริ่มมีการแชร์ข่าวกันในวงในของกลุ่มแม่ ๆ เด็กนักเรียน ส่งต่อข้อมูลกันในกลุ่มโซเชียล ว่ามีการกักตุนซื้อข้าวของอาหารแห้ง สิ่งจำเป็น จนเกือบหมดซุปเปอร์มาเก็ต ตัวฉันเองก็รู้สึกตกใจนะเมื่อเห็นรูปในซุปเปอร์มาร์เก็ต หลังจากนั้นวันต่อวันยอดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มลุกลามขึ้น จากร้อยจนถึงหลักพัน โรงเรียนสั่งปิดแบบกะทันหัน โซนที่ฉันอยู่ถูกยกระดับเป็นโซนแดง ยอดคนติดเชื้อและเสียชีวิตเยอะมาก ผู้คนกวาดกลัว อกสั่นขวัญแขวน ทำตัวกันไม่ถูก ไม่รู้จะรับมืออย่างไร ฉันเองก็เช่นกัน หลังจากผ่านไปเป็นเดือนรัฐก็ยังไม่ปิดประเทศ บางสถานที่ โรงงานก็ยังเปิดอยู่ คนเสียชีวิตพุ่งกระฉูด แต่ปัญหาที่เกิดในระหว่างนั้นคนอิตาเลี่ยนถกเถียงกันเรื่องหน้ากากอนามัย ไม่มีการระบุหรือชี้แจง หรือบังคับใช้ แต่เกิดการถกเถียงกันอยู่ทุกวัน คนตายเพิ่มจำนวนขึ้นวันละ 100 คน 200 คน 300คน 400 คน 500 คน 600 คน 700คน 800คน จนอาทิตย์ที่หนักสุดๆยอด900กว่าคน ถามว่าจิตใจฉันอยู่ในสภาพไหน มันวิตกกังวลและแย่มากในช่วงเดือนแรก เพราะเราไม่สามารถรับรู้ได้ว่า ไวรัสมัจจุราชนี้มันจะหยุดหรือไม่ สามีฉันยังออกไปทำงานทุกวันเพราะไม่มีคำสั่งของรัฐบาลให้ปิดทุกโรงงาน ให้ปิดบางส่วนเท่านั้น แล้วโรงงานที่เกี่ยวกับสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิต ยังต้องเปิดบริการ สามีฉันทำเกี่ยวกับการผลิตกล่องใส่อาหารซึ่งจำเป็นมากในช่วงนั้น นับวันสถานการณ์ยิ่งแย่ จิตคนเราก็ตก ความระแวงก็เกิด คำว่าโซนแดงเราไม่สามารถออกไปไหนได้แล้ว แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไป ยังต้องไปจ่ายตลาด แต่เราก็ไปให้น้อยที่สุด ซึ่งคนที่ออกจากบ้านตอนนั้นคือสามีคนเดียว เพราะฉันต้องดูแลลูก ๆ อีก 2 คน พวกเราต้องบ้าคลั่งกับการดูแลทำความสะอาดทุกจุดทุกมุม เสื้อผ้า ข้าวของที่ซื้อมา เรียกได้ว่าเกือบจะบ้าและเสียสติกันเลย แต่ในช่วงเวลานั้นความเป็นแม่เราต้องตั้งสติให้ดี เพราะเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เรามีลูก 2 คน เราเลี้ยงลูกเองไม่มีตายาย ญาติพี่น้อง เราต้องมีสติเพื่อจะได้ดูแลพวกเขา ในสถานการณ์แบบนี้มันทรมานและบีบหัวใจสุด ๆ มาถึงจุดที่อยู่ครอบครัวใครครอบครัวมัน ถึงแม้บางคนถึงมีปู่ย่าตายาย แต่ก็ไม่สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ ในช่วงที่ไวรัสระบาดสุดๆ คนที่นี่ถกเถียงกันและโจมตีกันเรื่องหน้ากาก แต่ฉันได้รับข่าวสารจากคุณหมอทึ่ไทยเรื่องหน้ากาก และรีบทำความเข้าใจว่ามันจำเป็นมาก อิตาลีเป็นประเทศยุโรปประเทศแรกเลยก็ว่าได้ที่มีจำนวนคนตายมากที่สุดจนแซงหน้าจีน ในช่วงมีนาคมถึงพฤษาคม ในช่วงที่เจอปัญหารุนแรงแบบนี้มันทำให้ฉันเกิดมุมมองหลายอย่างกับชีวิตของเรา ความไม่แน่นอนมันเกิดขึ้นได้เสมอ ความเปลี่ยนแปลง วิกฤตการณ์มันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ สิ่งสำคัญคือการมีสติ และพลังที่จะรับมือ กำลังใจ มิตรภาพความห่วงใย ฉันได้รับมากมายจากครอบครัวที่เมืองไทย และเพื่อนๆที่ส่งเข้ามาให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ ฉันไม่ออกไปไหนเลยเป็นระยะเวลา 3 เดือนเต็มๆได้ หลายคนยอกว่า ทำได้อย่างไรอยู่ที่บ้านไม่ออกไปไหน ถึงอยากออกก็ออกไม่ได้คะ รัฐบาลออกมาตรการเด็ดขาด แบบว่า ต้องมีการกรอกขออนุญาตออกจากบ้าน ไม่งั้นเจอปรับ ฉันอยู่ได้ในระหว่างนั้นที่เริ่มมีการสั่งให้กักตัว ฉันก็ทุ่มเทเวลาในการวางแผนว่าจะทำอะไร กักตุนอาหาร เตรียมข้าวของที่จำเป็นไว้สำรองในการเลี้ยงชีพ และสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องรีบทำคือ การทำสวนเพราะช่วงนั้นหน้าร้อนกำลังมา ฉันจะต้องปลูกผักไว้กินเอง และที่สำคัญคิดว่า ถ้าสถานการณ์รุนแรง ฉันจะได้มีอาหารไว้กิน มันจะเกิดอะไรขึ้นเราไม่รู้ แต่เราจะต้องไม่อดตาย ขอบคุณในช่วงเวลาที่แย่ๆแต่ถ้าเรามีสติที่จะรับมือ อะไรมันก็ผ่านไปได้ สิ่งที่ได้บทเรียนจากโควิด คือ การที่เราต้องช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด รู้จักแก้วิกฤต รู้ถึงความสำคัญของชีวิต และชีวิตมีค่า ความเป็นอิสระทึ่เราต้องรู้จักใช้มัน ชีวิตเรามีอะไรที่น่าประทับใจอีกเยอะ ทำให้เราเจอความหมายของชีวิต ช่วงนี้หน้าร้อน โควิตยังไม่หายไปแต่เบาบางลง คนทั้งโลกเจอมรสุมเต้าไวรัสโควิดที่มันค่อยพัดพาไปแต่ละประเทศ ขอส่งกำลังใจให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีและกลับมามีชีวิตปกติในเร็ววันคะ ที่มาของภาพ : นักเขียน ที่มาของภาพ: นักเขียน เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !