เส้นทางของนักอยากจะเขียนเรื่องสั้นของคุณได้รับเลือกให้ตีพิมพ์นะครับนอกจากคำชมของนักอ่านแล้ว นี่คงเป็นหนึ่งในประโยคที่นักอยากเขียนและนักเขียนอยากได้ยินเป็นที่สุด ฉันเองก็เช่นกัน ครั้งแรกที่ฉันได้ยินประโยคนี้ก็เมื่อกลางๆ ปี 2563 นี้เอง จากนักศึกษาที่ได้แค่เขียนบทละครเพื่อแสดงหน้าชั้นเรียนและเขียนเรื่องสั้นให้คนรอบตัวอ่านอย่างลับๆ ในที่สุดงานเขียนของฉันก็ได้รับการตีพิมพ์กับเขาบ้างเสียที ฉันดีใจที่ลูกของฉัน(เรื่องสั้น) ได้ออกไปผจญภัยในโลกกว้าง ได้เป็นความภาคภูมิใจให้คนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างฉัน จนถึงทุกวันนี้ ฉันก็ยังไม่อยากเชื่อว่าสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้จะเกิดขึ้นกับฉัน // ยิ้มแล้วมองไปที่หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นนักเขียนหลายคนเริ่มต้นจากการเป็นนักอ่าน และฉันว่าแทบจะทุกคนก็ต้องฝันถึงวันที่งานเขียนของเราได้รับการตีพิมพ์ ได้วางอยู่บนชั้นหนังสือหรือได้อยู่ในนิตยสารที่เราคลั่งไคล้ ฉันก็เป็นหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้น ฉันเริ่มต้นจากการอ่านหนังสือ ฉันชอบอ่านบทกวี เรื่องสั้นและนิยาย เมื่อนานมาแล้ว แม่เคยพูดกับฉันว่า "กล้าซื้อเนอะ เล่มละตั้ง 300 บาท" เมื่อฉันได้ยิน ฉันก็รู้สึกเสียใจเพราะปกติแล้วฉันจะอ่านหนังสือในห้องสมุดของโรงเรียนหรือไม่ก็ยืมเพื่อนตลอดจึงไม่จำเป็นต้องซื้อ แต่เล่มที่ฉันซื้อนั้นยังไม่มีในห้องสมุด มันเป็นเล่มใหม่ที่เพิ่งได้รับการตีพิมพ์ หลังจากนั้นฉันก็เลยต้องกินให้น้อยลง(แต่ไม่ได้อดนะจ๊ะ 555) เพื่อเก็บเงินไว้ซื้อหนังสืออ่าน (ฉันไม่ได้บอกแม่เรื่องนี้ เพราะไม่อยากให้แม่เครียดและสงสารฉัน) แล้วฉันก็บอกกับตัวเองว่า ฉันจะต้องทำเงินจากการอ่านและการเขียนให้ได้เส้นทางการเป็นนักอ่านของฉันก็ดำเนินมาเรื่อยๆ จนขึ้นมัธยมปลาย ฉันตัดสินใจลองเขียนเรื่องสั้นส่งประกวดดู ฉันก็ลองส่งตามชมรมมหาวิทยาลัยต่างๆ แต่ก็ไม่เคยผ่านเข้ารอบเลยสักครั้ง(ก็จะผ่านได้อย่างไรล่ะ สกิลการเขียนฉันยังกะมุกะมิอยู่เลย 555) หลังจากนั้นฉันก็รู้ว่าเรามี Input (สิ่งที่เราเสพ) เยอะ ไม่ได้หมายความว่า Output (สิ่งที่เราผลิต) เราจะดี ฉันจึงเริ่มฝึกการเขียน เขียนเรื่อยๆ เมื่อมีเวลาว่าง มีไอเดีย และมีอารมณ์ (อยากจะเขียน 555) จนตอนนี้ก็เขียนมา 7 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นเท่ากับว่าฉันฝึกเขียนมา 6 ปี จึงมีงานได้รับตีพิมพ์ครั้งแรก (นานใช่ไหมล่ะฮะ แต่งานเขียนที่เขียนสะสมมาตลอดนั้นก็สามารถเอามา rewrite(เขียนใหม่) หรือ rework(ปรับแต่งใหม่)ได้ ฉันจึงไม่ได้รู้สึกเสียดายเวลาหรืออะไรเลย)ต่อให้โอกาสมีแค่เส้นผมหรืออาจจะเป็นแค่เส้นผมตัดครึ่ง ก็ต้องคว้าเอาไว้!!!ประสบการณ์ส่งงานกับเดลินิวส์ *** หมดเขตแล้วนะจ๊ะ ***ในระหว่างที่ฉันกำลังเลื่อนหน้าไทม์ไลน์ Facebook อยู่ ฉันก็ได้เห็นโพสต์ประกาศรับเรื่องสั้นเข้าประกวดของเดลินิวส์ โดยทุกเรื่องที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ของเดลินิวส์และได้รับรางวัลเรื่องละ 1,500 บาท (ยังไม่หักภาษี) ย้ำ!!! ***ทุกเรื่อง*** โดยส่งคนละกี่เรื่องก็ได้ และจะมีการคัดเลือกครั้งที่สองโดยแบ่งออกเป็น รางวัลชนะเลิศ 1 รางวัล 300,000 บาทรางวัลรองชนะเลิศ 2 รางวัล 50,000 บาทรางวัลชมเชย 10 รางวัล 10,000 บาทโครงการนี้คือ โครงการประกวดเรื่องสั้นยอดเยี่ยมแห่งปี เกิดจากการร่วมมือกันระหว่าง เดลินิวส์กับสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย แม้ว่าเรื่องสั้นของฉันจะไม่ได้ผ่านเข้ารอบที่สอง แต่เพียงแค่นี้ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีมากแล้ว ฉันส่งไปทั้งหมดประมาณ 5 เรื่อง ได้รับเลือก 2 เรื่อง โดยแต่ละเรื่องฉันใช้เวลาเขียนประมาณ 3 วัน ฉันเขียนในโทรศัพท์ เพราะไม่มี Computer และไม่มี Laptop ใช้ T_T เรียกได้ว่างานนี้เพ่งตาแตกเลยฮะ พิมพ์ได้ไม่เท่าไหร่ก็ปวดตาซะแล้ว ฉันจึงเก็บเงินที่ได้รับจากเรื่องสั้นทั้งสองไว้ซื้อ Laptop เพื่อต่อยอดงานด้านการเขียนต่อ (ตอนนี้ใช้ Laptop เครื่องนั้นอยู่) นี่คือที่พึ่งในโทรศัพท์ของฉันที่ฉันใช้ในการเขียนการพิจารณาแต่ละเรื่องใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ก็ถือว่าเป็นปกติของการพิจารณางานเขียน ซึ่งฉันก็รอสองสามเดือนกว่าจะรู้ว่าเรื่องสั้นของฉันผ่านการพิจารณา ฉันรู้เพราะมีคนโทรมาหาฉัน ตอนแรกฉันก็นึกว่ามีคนโทรผิด ไม่ก็เป็นคนส่งของ คุณเชื่อไหมล่ะว่าฉันต้องคุมอารมณ์ตัวเองขนาดไหนตอนเขาพูดว่าเรื่องสั้นของคุณได้รับเลือกให้ตีพิมพ์นะครับ อันที่จริงเขาไม่ได้พูดแบบนี้หรอก แต่ก็ประมาณนี้แหล่ะ ฉันตื่นเต้นจนจับใจความอะไรไม่ค่อยได้ ตอนนั้นฉันอยู่บนรถตู้ กำลังนั่งรถจากบ้านกลับมหาวิทยาลัย ฉันได้แต่ภาวนาให้คนบนรถไม่ไล่ฉันลง ไม่ด่าฉัน และไม่ถ่ายคลิปฉันไปลงโซเชียลเพื่อประจารว่าส่งเสียงดัง ขอบพระคุณมากฮะที่วันนั้นไม่มีใครทำแบบนั้นเลย จู่ๆ น้ำตาก็มาจากไหนไม่รู้ ฉันสาบานได้ว่าฉันมองออกไปนอกรถแล้วเห็นข้างทางเป็นสวรรค์ ฉันมองท้องฟ้าแล้วเห็นความกว้างอันไม่รู้จบ แต่ในความกว้างนั้นก็เต็มไปด้วยโอกาสและความฝัน มันไม่ได้ว่างเปล่าการเข้าร่วมโครงการนี้ ทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะเขียนงานต่อไป ฉันจึงอยากขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่จัดโครงการดีๆ แบบนี้ขึ้นมา ได้เปิดโอกาสให้คนธรรมดาทั่วไปสามารถเข้าร่วมได้ ไว้ ณ โอกาสนี้ท้ายที่สุดนี้ แม้ว่าเรื่องสั้นของฉันจะได้รับตีพิมพ์ไป 2 เรื่อง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉันเก่งแล้ว ฉันจะหยุดฝึกการเขียนได้ นี่เป็นเพียงแค่ก้าวก้าวหนึ่ง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของเส้นทางสายนี้ ฉันเป็นกำลังใจให้พวกคุณทุกคน ไม่ว่าพวกคุณจะอยากเป็นนักเขียนหรืออยากทำอาชีพอื่นๆ ฉันรู้ว่าไม่ง่ายเลยที่จะทำให้ฝันเป็นจริงได้ ฉันเข้าใจพวกคุณดี ฉันขอเป็นกำลังใจให้พวกคุณทุกคน เราจะสู้ตามฝันไปด้วยกัน แม้ว่าคุณและฉันอาจจะไม่รู้จักกัน ฉันอยู่ข้างคุณ และขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านบทความของฉัน #kisskiss ขอขอบคุณภาพ (ภาพที่ 2) จาก Page : Dailynewshttps://www.facebook.com/dailynewsonlinefan/posts/2665763180133838