รูปร่างเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับผู้หญิง หลายๆคนรักษารูปร่างเพื่อความสวยงาม หลายคนดูแลรักษาหุ่นและควบคุมน้ำหนักเพื่อสุขภาพที่ดี ไม่แปลกใจเลยที่ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและการดูแลรูปร่างออกมาจำหน่ายให้เลือกซื้อมากมาย นั่นเป็นเพราะคนหันมาใส่ใจรูปร่างและสุขภาพมากขึ้นนั่นเอง สำหรับเราก็เช่นกัน เราเป็นคนที่ชอบกินเป็นชีวิตจิตใจ ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ไส้กรอก และรักที่สุดก็ชานมไข่มุกนี่แหละ เห็นแต่ละเมนูแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่ต้องเผชิญกับคำว่า “อ้วน” ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คิดอยู่เสมอว่าอ้วนก็ไม่เป็นไร เรามีความสุขกับการกิน แต่มันไม่จบแค่นั้น เมื่อความอ้วนของเราเป็นปัญหากับคนอื่น คุณเคยรู้สึกเสียใจ น้อยใจ หรือเสียความรู้สึกบ้างไหม หากมีคนทักทายคุณว่าอ้วนบ้าง ตัวเท่าช้างบ้าง บางครั้งก็โอ่งบ้าง และอีกหลากหลายฉายาที่บั่นทอนจิตใจ คุณอาจจะมองว่าจะใส่ใจคำพูดของคนอื่นทำไม แน่นอนเราก็คิดแบบนั้น แต่นั่นคือสิ่งที่สมองสั่งให้เราคิด เพราะการไม่ถือสาใช่ว่าจะไม่รู้สึก เราพยายามลดน้ำหนักมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จเลยสักครั้ง เพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเรา เราเคยคุมอาหาร ออกกำลังกาย 2 เดือนผ่านไป น้ำหนักไม่ลงเลยสักกิโล แน่นอนละว่าท้อ ท้อแล้วทำอย่างไรคะ ท้อก็ถอยค่ะ จะทำไปเพื่ออะไรตั้ง 2 เดือนแล้ว ไม่เห็นว่าจะลดลงสักกิโล เวลาก็ช่างเดินเร็วเหลือเกิน น้ำหนักก็เช่นกันขึ้นไวจนตกใจ จาก 60 กิโลกรัม เมื่อ 2 - 3 ปีก่อน มันขึ้นมาเกือบแตะเลข 7 เลยค่ะ แน่นอนว่านอกจากจะ ถูกบูลลี่จากคนอื่นแล้ว สุขภาพก็ไม่ดีด้วยค่ะ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เราหันมาตั้งใจลดน้ำหนักอีกครั้งในวัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 3 การลดน้ำหนักครั้งนี้เราตั้งใจและอดทนกับมันมาก จนในที่สุดก็เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเองในระยะเวลา 4 เดือน หลังจากที่เราควบคุมอาหารและออกกำลังกายมาด้วยความอดทน 1 - 3 เดือนแรกท้อมากค่ะ เพราะน้ำหนักแทบจะไม่ลงเลย ลงแค่นิดหน่อย แต่ครั้งนี้เราไม่ถอย อาจด้วยเพราะครั้งนี้เรามีพี่สาวลดน้ำหนักเป็นเพื่อนก็เลยมีแรงฮึดมากหน่อย หลังจากผ่านไป 4 เดือน น้ำหนักก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่เดือนที่ 7-8 จากน้ำหนักตอนนั้นที่ใกล้เลข 7 ตอนนี้น้ำหนักเราลงมาอยู่ที่ 53 กิโลกรัมค่ะ ดีใจและภูมิใจมากที่ในที่สุดความพยายามและความอดทนทำให้เราบรรลุเป้าหมาย ถามว่าตอนนี้หุ่นดีหรือยัง ขอตอบว่ายังค่ะ แต่เราก็พอใจกับน้ำหนักที่หายไป 10 กว่ากิโล และสุขภาพที่ดีขึ้น ปัจจุบันเราก็ยังควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อไม่ให้น้ำหนักขึ้นมาเกิน 55 กิโลกรัม ตามความตั้งใจ แต่เราไม่ได้คุมเข้มเหมือนช่วงแรกๆแล้วนะคะ เพราะเราพอใจกับตัวเลขนี้และเราก็อยากกินของโปรดที่เราชอบบ้าง แต่ก็ต้องกินด้วยความพอดีนะ ช่วงไหนที่น้ำหนักทำท่าจะขึ้นเกินกว่ากำหนดที่เราตั้งใจไว้ เราก็จะหันกลับมาคุมเข้มเหมือนเดิมค่ะ หากปล่อยตัวให้น้ำหนักขึ้นเยอะๆมันลดยากมาก ขึ้นมาน้อยๆ เราลดง่ายกว่าเยอะเลย จริงไหมคะ ประสบการณ์สอนเราได้ดีเสมอค่ะ สิ่งสำคัญที่สุดในการลดน้ำหนักของเราคือ ถ้าใจเราไม่สู้ ไม่อดทน ก็ไม่สำเร็จค่ะ และนี่คือวิธีที่เราปฏิบัติตลอดช่วงเวลาของการลดน้ำหนัก1. คุมอาหาร คุมนะคะไม่ใช่การอด ช่วงแรกบอกตามตรงว่าทรมานมาก เราลดอาหารทอด อาหารมัน ขนมหวาน ชาไข่มุกที่ชอบก็หยุดไว้ก่อนค่ะ เราลดปริมาณข้าวในแต่ละมื้อ ค่อยๆลดนะคะ เราเน้นกินผักกับโปรตีนที่ไขมันน้อยๆ เช่นอกไก่ ปลา หมูก็กินแต่เนื้อแดง น้ำเต้าหู้ ผลไม้แคลต่ำ หรือนมถั่วเหลืองสูตรน้ำตาลน้อย ส่วนไข่ต้มอันนี้เป็นเมนูช่วยชีวิตเลยค่ะ เรียกได้ว่าทานบ่อยมาก มื้อไหนหาอย่างอื่นไม่ได้ก็ต้องพึ่งไข่ต้ม ถามว่าเบื่อมั้ยที่กินวนเวียนอยู่แค่นี้ แล้วมันอร่อยเหรอ ตอบตรงๆว่าก็อร่อยค่ะแต่อร่อยไม่มาก แหม...มันจะอร่อยเหมือนข้าวขาหมูที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนได้ยังไงกันละคะจริงไหม แต่อย่างที่บอกต้องอดทน ส่วนพวกขนมหรือของหวาน แน่นอนว่าโหยหาสุดๆ แต่เรามีตัวช่วยค่ะ ใน 7-11 มีทั้งอาหารและขนมแคลน้อยให้คุณได้เลือกสรรมากมายเชียวค่ะ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งนะคะ คราวหน้าถ้ามีโอกาส เราจะหยิบอาหารที่เรากินใน 7-11 มาแนะนำเพิ่มเติมนะ2. ออกกำลังกาย เราใช้วิธีออกกำลังกายตามคลิปวิดีโอในยูทูป ซึ่งมีมากมายให้คุณได้เลือก เลือกตามที่เหมาะและประเมินแล้วว่าคุณออกตามไหว ไม่น่าเบื่อสำหรับคุณ ส่วนคลิปของเราก็จะสลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน เราออกกำลังกายตามคลิปวันละไม่ต่ำกว่า 45 นาที และไม่เกิน 1 ชั่วโมง จากนั้นต่อด้วยการหมุนฮูล่าฮูป (น้ำหนัก 2 กิโลกรัม) อีก 1 ชั่วโมง การหมุนฮูล่าฮูปของเราจะไม่ยืนอยู่กับที่นะคะ แต่เราจะเดินหมุนไปรอบบ้าน เพื่อเพิ่มการเผาผลาญ เพราะการยืนหมุนอยู่กับที่นานๆทำให้ปวดเข่าค่ะ3.การทำ IF (Intermitent Fasting) วิธีนี้ได้ผลดีเลยค่ะ เราทำแบบ 16:8 คือกิน 8 ชั่วโมง และอด 16 ชั่วโมง คงไม่ต้องอธิบายเยอะเนอะ เพราะคิดว่าทุกคนคงรู้จักอยู่แล้ว ถามว่าช่วงเวลาอดทรมานไหม ก็ทรมานแค่ช่วงแรกค่ะ ขอบอกว่าหิวสุดๆ แต่ต้องอดทนและเมื่อผ่านไปสัก 4-5 วันคุณก็จะชินกับมัน และร่างกายก็จะค่อยๆปรับตัวได้ เห็นไหมคะ แค่ 3 ข้อเองที่เราใช้เป็นหลักในการลดน้ำหนัก เราจะไม่พูดว่า “ถ้าเราทำได้คุณก็ต้องทำได้” เพราะมันไม่จริงค่ะ ถ้าคุณไม่อดทนใจไม่สู้ คุณก็จะท้อและถอยเหมือนกับเราในตอนแรก แต่ถ้าคุณอดทนและไม่ถอยคุณก็จะสมหวังเหมือนกับเราในตอนนี้ค่ะ หวังว่าการเล่าประสบการณ์ของเราจะช่วยเป็นแนวทางให้คนที่อยากลดน้ำหนักได้นะคะ ขอบคุณค่ะภาพถ่ายโดยผู้เขียนทั้งหมด เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !