สวัสดีครับเพื่อน ๆ วันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์อุทาหรณ์ เพื่อเป็นเกราะป้องกันให้กับทุก ๆ คน ไม่ให้หลงเชื่อกลุ่มมิจฉาชีพ หรือเป็นข้อความคอยเตือนสติทุกคน ไม่ให้หลงไปกับความโลภ เพื่อให้เราทุกคนทันต่อเหตุการณ์ในสังคม สังคมของเรามีทั้งด้านบวกและด้านลบ เราจะต้องรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ เพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อแก่มิจฉาชีพ และทุกครั้งที่เราอยู่ในออนไลน์ อย่าลืมว่าเราจะต้องเสพสื่ออย่างมีสติ อย่าหลงงมงาย มีสติทุกครั้งไม่ว่าจะอยู่ในโลกความจริง หรืออยู่ในโลกออนไลน์ ปัจจุบันนี้สังคมของเรามันน่ากลัวขึ้นทุกวัน ถ้าเราใช้สื่อในทางที่ผิด สื่อก็จะลงโทษคุณ แต่ถ้าเราใช้สื่อที่ถูกต้อง สื่อก็จะยกย่องและในเกียรติคุณ ฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะอยู่ในโลกความจริง หรืออยู่ในโลกออนไลน์ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องมีนั่นก็คือ "สติ"เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ เหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน เมื่อผมได้โหลดแอปพลิเคชันหาคู่ (ผมขอไม่เอยชื่อว่าเป็นแอปอะไร แต่แอปนั้นเป็นสีส้ม) ผมได้คุยกับคน ๆ นึงที่อยู่ต่างประเทศได้สักประมาณ 3 เดือนก่อนหน้านี้ เราเริ่มสนิทกันมากขึ้น มีการคุยทางแชตไลน์ โทรคุยกันอยู่ตลอด จนผมเริ่มเชื่อใจ และฟังเขามาตลอด ความสัมพันธ์ของเรามันดีขึ้นเรื่อย ๆ เราต่างเทคแคร์ความรู้สึกของกันและกัน เขาทำงานเป็นแพทย์แห่งหนึ่งในต่างประเทศ เขาบอกผมว่าประมาณกลางเดือนของปีนี้ เขาจะมาเมืองไทย มาเที่ยวเมืองไทย และมาหาผมหลังจากเหตุการณ์โควิด19 เริ่มชะลอตัวแล้ว ทุกอย่างเริ่มเป็นไปได้ดี จนกระทั่งเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา เขาบอกผมว่าเขาจะโอนเงินมาให้ผมประมาณ 5,000 ดอลลาร์ เมื่อเทียบเป็นเงินไทยแล้ว ประมาณ 150,000 กว่าบาท ผมถามเขาว่าคุณจะโอนมาให้ฉันจริง ๆ หรอ เงินมันเยอะมาก เขาตอบกลับมาว่า ฉันรักคุณที่รัก ฉันให้ได้ทุกอย่างเมื่อคุณต้องการ แต่หากอยู่ในเมืองไทย ฉันจะให้เงินคุณใช้อยู่ตลอด ขอแค่เชื่อฟัง เชื่อใจเขา และเป็นคนดีของเขา ผมนั่งคิดพิจารณาอยู่นานมากกว่าจะตอบตกลง ผมตอบไปว่าโอเค ผมเชื่อใจคุณ ขอแค่อยากหลอกกันก็พอ หลังจากที่ผมตกลง เขาได้ไปธนาคารเพื่อไปโอนเงินให้ผม ผมถามกลับไปทำไมคุณถึงรีบไปธนาคาร เขาตอบกลับมาว่า ตอนนี้ฉันไปโอนเงินให้กับลูกน้องของฉัน เลยพลอยโอนให้ผมด้วย (ตอนนั้นผมงงมากว่าลูกน้องเขาคือใคร เพราะเขาทำงานเป็นแพทย์ ไม่ได้ทำงานเป็นบริษัทหรือเป็นนายจ้างใคร) สักประมาณ10 นาที เขาทักมาหาผม บอกว่าตอนนี้อยู่ธนาคารแล้ว เขาบอกให้ผมส่งเลขบัญชี ชื่อตัวเอง และชื่อธนาคาร ผมก็ส่งไปให้เขาเรียบร้อย หลังจาก 5 นาที เขาทักมาว่าบัญชีของผมเป็นบัญชีที่อยู่ต่างประเทศเขาให้ผมไปซื้อ “Google Play gift card” ผมก็ตอบกลับไปว่าซื้อทำไม เขาบอกว่าบัญชีของผมเป็นบัญชีที่อยู่ต่างประเทศ ต้องมีค่าธรรมเนียม เลยให้ผมไปซื้อ Google Play เพื่อปลดล็อคว่าบัญชีของผมอยู่ต่างประเทศจริง ๆ เขาให้ผมไปซื้อที่เซเว่นใบละ 2,000 บาท ตอนนั้นผมงงมาก คือให้ผมไปซื้อทำไม ตอนนั้นเขาเร่งผมมาก เขาบอกตอนนี้ระบบจะดำเนินรายการ ให้ผมรีบไปซื้อมาเดี๋ยวนี้ เพื่อที่ผมจะได้รับเงิน และบอกให้ผมขูดรหัสผ่านแล้วส่งให้เขาตอนนั้นผมสองจิตสองใจ เขาเร่งและโทรหาผมอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นผมคิดในใจอย่างเดียวว่า ถ้าเขาจะให้เราจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เงินก็เป็นของเขา ทำไมเขารีบเร่งให้ผมขนาดนั้น เชื่อไหมครับผมซื้อ Google Play จริง ๆ (ผมส่งรูปให้เขาดูว่าตอนนี้ผมซื้อแล้ว) เขาก็รีบเร่งบอกให้ผมขูดรหัส และส่งให้เขาอย่างเร็วที่สุดทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมเลยเสิร์ชหาจาก pantip ว่า "Google Play" สามารถโอนเงินจากต่างประเทศได้หรือไม่? ผลจากการเสิร์ชบอกให้ผมรู้ว่า "ไม่จริง" ข้อมูลที่ขึ้นมาทั้งหมด เป็นเคสเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ ซึ่งมันเป็นการหลอกลวง เคสเดียวกันกับผมเยอะมาก บางคนโดนหลอกไปเป็นหมื่น หลอกให้ซื้อการ์ดหลาย ๆ ใบ ใบละ 1,000 บ้าง 2,000-3,000 บ้าง ผมช็อคมาก ไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะมาเกิดกับตัวเอง อย่างที่ผมบอกแหล่ะครับ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก สติผมเริ่มกลับมา แต่โชคดีของผมที่ผมไม่ได้ขูดรหัสให้เขา ตอนนั้นผมเสียความรู้สึกมาก ไม่คิดว่าสังคมสมัยนี้มันจะน่ากลัว และเลวร้ายขนาดนี้สุดท้ายนี้ เรื่องของผมคงจะเตือนสติให้ทุก ๆ คนไม่มากก็น้อย ทำอะไรอย่างระมัดระวัง มีสติทุกครั้ง ไม่หลงกลพวกมิจฉาชีพ ไม่โลภมาก ประสบการณ์ในวันนั้นสอนผมเยอะมาก จากเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก จนผมต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติตัวเอง ว่าสังคมของเราไม่ได้มีแค่ด้านบวกเพียงอย่างเดียว แต่มันมีด้านลบที่เยอะมาก ให้เราคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลา และประสบการณ์สอนให้ผมเติบโตมากขึ้น จากเด็กคนนึงที่ไม่เคยเจอเรื่องราวที่เลวร้ายแบบนี้มาก่อน ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรที่ใหม่ ๆ มากขึ้น เพื่อปกป้องตัวเองจากสังคมที่เลวร้าย และผมหวังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม จะเป็นกระบอกเสียงให้กับทุก ๆ คน ไม่มากก็น้อย เพื่อให้ทุก ๆ คน หลุดพ้นจากเหยื่อในโลกความจริง และสื่อในโลกออนไลน์เช่นกัน ขอบคุณครับเครดิตภาพ : หน้าปกภาพประกอบจากประสบการณ์จริง : ปริญญา วงษ์นุ้ย