การขับรถความเสี่ยงเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อท่านนั่งอยู่หลังพวงมาลัย อะไรที่จะมาแบกรับความเสี่ยงท่านเพื่อคุ้มครองทั้งรถของท่านและผู้อื่นได้ อีกทั้งยังทำให้ท่านมั่นใจขึ้นเมื่อได้ขับขี่รถบนท้องถนน แน่นอนนั่นคือการประกันรถครับโดยบทความนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงการประกัน พรบ. และประกันรถ ซึ่ง 2 ข้อนี้มีความแตกต่างกันคือประกันพรบ.นั้น กฎหมายบังคับให้ต้องทำ เพื่อคุ้มครองผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุเกี่ยวกับรถยนต์ที่เราขับ ถ้าหากมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตส่วนประกันรถ เป็นเรื่องที่เจ้าของรถสมัครใจทำประกันเอง เช่น รถประกันชั้น 1 ชั้น 2 หรือชั้น 3 ตามที่เราเข้าใจกัน โดยบทความนี้ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงประกันภัย แต่ละประเภทให้ความคุ้มครองอะไรบ้าง เช่นประกันประเภท 1 ( คุ้มครองรวม ) ประกันจะให้ความคุ้มครองรถยนต์ของท่านซึ่งทำประกันไว้รวมถึงคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งท่านได้ขับขี่โดยประมาทตัวอย่างที่ 1 หากท่านขับรถยนต์ที่ทำประกันประเภท 1 ไปชนกับรถยนต์ของบุคคลอื่น โดยท่านเป็นฝ่ายประมาท ประกันจะคุ้มครองทั้งรถยนต์ของท่านและรถยนต์ของบุคคลภายนอกตัวอย่างที่ 2 หากท่านขับรถยนต์ที่ทำประกันประเภท 1 ไปชนกับรถยนต์ของบุคคลอื่น โดยท่านเป็นฝ่ายถูก ประกันจะคุ้มครองรถยนต์ของท่านเท่านั้นประกันประเภท 2 ประกันจะคุ้มครองรถยนต์ของท่านเฉพาะในกรณีที่รถของท่านสูญหาย หรือไฟไหม้ รวมถึงคุ้มครองทรัพย์สินของบุคคลภายนอก ซึ่งท่านได้ขับขี่โดยประมาทตัวอย่างที่ 1 รถของท่านเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์คันอื่นโดยท่านเป็นฝ่ายประมาท รถของท่านซึ่งทำประกันประเภท 2 ไว้ จะไม่ได้รับการจัดซ่อมกับประกัน แต่ประกันจะจัดซ่อมให้รถยนต์ของอีกฝ่ายเท่านั้นตัวอย่างที่ 2 รถท่านจอดรถไว้ แล้วเกิดรถยนต์ท่านถูกโจรกรรมหรือถูกขโมยรถไปเช่นนี้ รถของท่านจะได้รับการชดใช้ หรือเช่นเดียวกันหากท่านจอดรถไว้ แล้วเกิดรถยนต์ท่านเกิดไฟไหม้ รถของท่านจะได้รับความคุ้มครองประกันประเภท 3 ประกันจะไม่คุ้มครองรถยนต์ของท่านทุกกรณี แต่จะคุ้มครองเฉพาะทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งท่านได้ขับขี่โดยประมาทตัวอย่าง รถยนต์ของท่านเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์คันอื่น โดยท่านเป็นฝ่ายประมาท รถของท่านจะไม่ได้รับความคุ้มครอง แต่จะคุ้มครองรถยนต์ของอีกฝ่ายเท่านั้นประกันประเภทพิเศษ เป็นประกันอีกประเภทที่เพิ่มขึ้นในภายหลัง ซึ่งประกันจะคุ้มครองเฉพาะรถยนต์ของท่านซึ่งเอาประกันภัยไว้ เฉพาะกรณีที่เฉี่ยวชนยานยนต์พาหนะทางบกเท่านั้น หรือเรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า ประเภท 3 พิเศษบ้าง 3 พลัสบ้าง ฯลฯ ตัวอย่าง รถของท่านเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์คันอื่น โดยท่านเป็นฝ่ายประมาท ทั้งรถของท่านและอีกฝ่ายก็จะได้รับความคุ้มครอง แต่หากรถยนต์ของท่านเกิดอุบัติเหตุไปชนกับวัตถุสิ่งของ เช่นเสาไฟฟ้า รถของท่านจะไม่ได้รับความคุ้มครอง เพราะไม่ได้เฉี่ยวชนยานยนต์พาหนะทางบกประกันแต่ละประเภทที่ได้กล่าวไว้ตามข้างต้น จะเห็นได้ว่าจะมีความแตกต่างกันไปส่งผลให้เบี้ยประกันภัย แต่ละประเภทราคาจะไม่เท่ากัน เพราะความเสี่ยงภัยต่างกัน ดังนั้นท่านต้องเป็นผู้พิจารณาความเหมาะสมว่ารถของท่านควรเลือกทำประเภทไหนที่เหมาะสมที่สำคัญงบในกระเป๋าสตางค์ท่านไม่บานปลายครับภาพหน้าปกเครดิตภาพโดย https://www.canva.com/design/DAD6KeQq6_0/sXa3pa2lUa-LzxgSSP1y2Q/edit?category=tACFauRB4fUเครดิตภาพที่ 1 โดย https://www.pexels.com/th-th/photo/60-163016/ เครดิตภาพที่ 2 โดย https://www.pexels.com/th-th/photo/47863/เครดิตภาพที่ 3 โดย https://www.freepik.com/free-photo/insurance-agent-working-during-site-car-accident-claim-process-people-car-insurance-claim_5597947.htmเครดิตภาพที่ 4 โดย https://www.freepik.com/free-photo/automobile-accident-street_6933260.htm#page=1&query=accident&position=13