ที่มาภาพหน้าปก https://pixabay.com/photos/japanese-sitting-students-uniform-356707/ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดูหนังญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง Biri girl ซึ่งเป็นหนังที่สร้างขึ้นจากเรื่องจริง โดยเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กนักเรียนหญิงชั้นมอปลายคนหนี่งที่ชื่อ ซายากะ คุโด้ เด็กเกเรแบบสุดโต่ง ไม่ตั้งใจเรียน สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน ไม่เข้าเรียน แถมแต่งกายชนิดที่เรียกได้ว่าเกินวัย ทั้งนุ่งสั้น แต่งหน้าจัด โดยทั้งที่โรงเรียน และที่บ้านของซายากะต่างลงความเห็นกันว่าชาตินี้ทั้งชาติ ซายากะ คงไม่น่าจะเรียนจบชั้นมอปลาย และที่ร้ายแรงที่สุดครูประจำชั้นที่สอน ซายากะ ยังตราหน้าเธออย่างรุนแรงว่าเป็น “พวกขยะ” ไม่มีทางที่จะหาความเจริญก้าวหน้าได้อีกแล้ว ซายากะอายุ 17 ปีแล้ว แต่จากการสอบวัดความรู้ครั้งล่าสุด สมองและองค์ความรู้ของเธอต่ำกว่าเด็กอายุ 7 ขวบ แม้กระทั่งว่าทิศเหนือหรือทิศใต้เธอก็ไม่สามารถตอบได้ว่าทิศไหนคือทิศเหนือหรือทิศใต้ กระทั่งน้องสาวของเธอถึงกับอุทานออกมาว่า “นี่พี่มีชีวิตรอดอยู่มาได้ยังไง” ภาพประกอบ https://pixabay.com/photos/japan-arashiyama-school-children-1433874/ทว่าจุดพลิกผันของซายากะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ ซายากะ ถูกพักการเรียน แม่ของเธอจึงต้องทำอะไรซักอย่าง จึงส่งเธอไปเรียนพิเศษช่วงถูกพักการเรียนกับอาจารย์ซึโบตะ โยชิตากะ ซึ่งจากจุดนี้เองที่เป็นจุดพลิกผันชีวิตของซายากะไปตลอดกาล ซายากะ ที่ใครหลายคนมักจะบอกว่าเกินเยียวยาแล้ว แต่อาจารย์ซึโบตะ ท่านนี้กลับมองตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง มองว่าระดับไอคิวของซายากะนั้นยังสามารถพัฒนาได้อีกมาก แรก ๆ ซายากะก็ไม่ได้อยากจะเรียนอยู่แล้ว แต่ด้วยวิธีการที่แตกต่างของอาจารย์ซึโบตะ ทำให้ซายากะเริ่มเกิดความคิดที่อยากจะเรียนรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ใหม่หมด เปลี่ยนแปลงเรื่องวิชาการหรือเรื่องที่น่าเบื่อให้เป็นเรื่องสนุกสนาน เช่น การท่องศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นเพลง เปลี่ยนเรื่องเข้าใจยากให้เป็นเรื่องที่มีความน่าตื่นเต้น ท้าทาย เช่น การท่องประวัติศาสตร์ผ่านการ์ตูนหรือนิยาย และการกล่าวคำชมอย่างมีจิตวิทยาวันแรกที่ซายากะเข้ามาเรียนและทำแบบทดสอบความรู้ในระดับมอปลาย เธอทำผิดทุกข้อ แต่วันที่สองนี่เองที่เธอทำถูก 1 ข้อ ซึ่ง อาจารย์ซึโบตะ บอกว่าเป็นพัฒนาการที่ดี!!!! ซายากะเริ่มตื่นเต้นดีใจ และเกิดความอยากที่จะเรียนรู้ต่อทันที อาจารย์ซึโบตะให้ซายากะเขียนเป้าหมายลงในกระดาษว่าเธอมีเป้าหมายอย่างไรในชีวิต ซายากะใช้เวลาคิดอยู่นานมาก กระทั่งท้ายที่สุดสิ่งที่เธอเขียนลงไปในกระดาษ คือ “จะสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเคโอให้ได้!!!” ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับต้น ๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่มีอัตราการสอบแข่งขันที่สูงมาก และมีแต่ระดับหัวกะทิของประเทศเท่านั้นที่สามารถสอบเข้าได้ เป้าหมายของซายากะในครั้งนี้สร้างความดีใจให้กับอาจารย์ซึโบตะเป็นอย่างมาก แต่ได้สร้างความขบขันให้กับคนรอบข้างของเธอเป็นอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะคุณครูประจำชั้นและพ่อของเธอ ซึ่งได้แต่บอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ กระทั่งครูประจำชั้นของเธอถึงกับบอกว่า หากซายากะสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเคโอได้ เข้าจะแก้ผ้าวิ่งรอบสนามฟุตบอลทันที แต่ซายากะก็ไม่สนใจแต่อย่างใด แต่กลับเพิ่มความฮึกเหิมมากยิ่งขึ้น และมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเธอจะต้องทำได้ภาพประกอบโดยผู้เขียนหลังจากนั้นไม่นานได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของซายากะโดยสิ้นเชิง เธอเริ่มเที่ยวเตร่กับเพื่อฝูงน้อยลง แต่หันมาอ่านหนังสือ ดูตำราเรียน ฝึกภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้น ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับคนรอบข้างเธออย่างมาก เช่น เมื่อน้องของเธอกำลังจะเปิดโทรทัศน์เพื่อดูละคร แต่เธอกลับบ่นและหยิบรีโมทเพื่อกดดูข่าวภาคภาษาอังกฤษ เป็นต้น พัฒนาการของเธอดีขึ้นเรื่อย ๆ สามารถทำข้อสอบประเภทวิเคราะห์ วิพากษ์ประเด็นทางวิชาการต่าง ๆ ได้ และเริ่มพูดภาษาอังกฤษได้ ซายากะเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างชัดเจนในช่วงใกล้สอบ เธอไม่สนใจความสวยความงามอีกต่อไป เธอตัดผมสั้น ไม่แต่งตัวเปรี้ยวตามสไตล์วัยรุ่นเหมือนแต่ก่อน หมกมุ่นอยู่แต่กับการอ่านตำราจนดึกดื่น เมื่อเธอกลับไปเข้าชั้นเรียนอีกครั้ง และสอบจนใกล้จบภาคการศึกษา เวลาที่เธอรอคอยก็มาถึงนั่นคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสนามจำลอง (ซึ่งเป็นระบบการทดลองสอบก่อนการสอบจริง) ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเธอสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยเคโอตามที่ตั้งใจไว้ภาพประกอบ https://pixabay.com/photos/school-draw-drawing-education-1974369/ซายากะรู้สึกท้อแท้เป็นอย่างมาก ทั้งสิ้นหวัง เจ็บปวด เปล่าเปลี่ยว ทรมาน อยากนอนพักไปนาน ๆ อยากร้องไห้ เสียใจกับสิ่งที่ตั้งใจทำมาโดยตลอด และเริ่มไม่อยากจะเรียนอีกต่อไป เธอกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีกครั้ง กระทั่งเมื่อซายากะเดินมาบอกกับอาจารย์ซึโบตะว่าไม่ต้องการจะเรียนอีกต่อไป เพราะการทุ่มเทที่ผ่านไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย ไม่ว่าอาจารย์ซึโบตะจะพูดอย่างไรซายากะก็ไม่ฟังต่อไป อาจารย์ซึโบตะเสียใจมากกับสิ่งที่ซายากะติดสินใจแบบนี้ แต่แล้วในที่สุดจุดพลิกผันก็เกิดขึ้นอีกครั้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องชายของเธอซึ่งทำให้เธอคิดได้และกลับมาบอกกับอาจารย์ซึโบตะอีกครั้งซึ่งถือเป็นข้อคิดที่ดีมากทั้งสำหรับผู้ที่กำลังเรียนหนังสือ หรือผู้ที่กำลังอยู่ในวัยทำงานว่า“ชีวิตของคนเราก็ต้องเจอกับความยากลำบากบ้างเป็นธรรมดา ห้ามหนีและต้องพุ่งชนมันสินะ หนูจะพยายามเพื่อเป็นมนุษย์ที่ดีกว่านี้ ถึงแม้จะต้องเจ็บปวดก็ตาม” นับเป็นคำพูดที่ดีงามมากของซายากะ และแล้ววันที่ซายากะรวมถึงคนในครอบครัวของเธอรอคอยก็มาถึง ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย (การสอบจริง) ของซายากะในครั้งนี้.... ปรากฏว่า เธอสอบติดคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคโอ ! นับเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชมยิ่งสำหรับเด็กผู้หญิงชั้น ม.5 คนหนึ่งที่เกเร และมีองค์ความรู้เท่ากับเด็ก ป.1 แต่ใช้เวลาเพียงแต่ 1 ปีครึ่งเธอสามารถสอบเข้าเรียนได้ที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ของประเทศ ความมานะบากบั่นนี้คงไม่อาจจำกัดแต่ในวงเฉพาะสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าสำหรับทุกเพศ วัย สถานะ ความเชื่อ และทุกตำแหน่งหน้าที่การงานที่ต้องใช้ความเพียรพยายามในการขับเคลื่อนแทบทั้งสิ้นเพราะไม่ความสำเร็จใดจะล่องลอยมาหากปราศจากปัจจัยเหล่านี้ภาพประกอบ https://pixabay.com/photos/handshakes-congratulations-hands-930178/หากวิเคราะห์ด้วยวิถีทางของซายากะ ซึ่งหนึ่งที่น่าขบคิดและนำมาวิเคราะห์ คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงของซายากะ ซึ่งเริ่มตั้งแต่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การลงมือทำด้วยความเพียรพยายามอย่างหนัก ทุ่มเท และที่สำคัญจะต้องมีความเชื่ออย่างล้นปรี่ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการขับเคลื่อนทุกสรรพสิ่ง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ซายากะได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่าไม่มีสิ่งใดที่เราทำไม่ได้ นอกเสียจากว่าไม่ได้ทำ ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรก็ตาม หากเราได้ทุ่มเทและต่อสู้ให้สมกับคำว่าการเป็นมนุษย์แล้วก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจวิธีการของซายากะของสอดคล้องตามหลักพระพุทธศาสตร์อยู่เรื่องหนึ่งนั่นคือ เรื่องของ “ปฏิจจสมุปบาท” ซึ่งเป็นเรื่องที่ว่าด้วยหลักของเหตุผล กล่าวคือ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นย่อมมีที่มาและล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลพวงของเหตุปัจจัยต่าง ๆ เกิดสิ่งนี้เพราะมีเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ เกิดสิ่งนั้นเพราะมีเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ผูกพันเชื่อมโยงส่งเสริมสนับสนุนกันไป ซายากะสอบได้มหาวิทยาลัยตามที่ตั้งเป้าไว้ก็ย่อมเกิดจากการบากบั่นพากเพียร ซายากะพูดภาษาอังกฤษได้ก็ย่อมเกิดจากการเรียนรู้และฝึกฝน ซายากะสามารถคิดวิเคราะห์และวิพากษ์ประเด็นสำคัญของบ้านเมืองได้ก็ย่อมเกิดจากการศึกษาอย่างกระจ่างแจ้งและทันต่อข้อมูลข่าวสารภาพประกอบ https://pixabay.com/photos/student-typing-keyboard-text-woman-849822/หากมองอีกด้านหลักปฏิจจสมุปบาทที่กำหนดกรอบของการเกิดขึ้นของเรื่องต่าง ๆ ว่าเกิดจากการเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันนี่เองที่เป็นเหมือนตัวอธิบายหรือเป็นหลักฐานอย่างชัดแจ้งว่าถ้าหากเราอยากได้ หรืออยากเห็นสิ่งใด เราจะต้องวางแผนและลงมือทำสิ่งใดบ้างนั่นเอง นี่คือความงดงามของหนังเรื่องนี้ และซายากะยังได้บอกกับเราอีกว่า ถ้าเธอทำได้ เราทุกคนก็ทำได้เช่นกัน