(ภาพปกโดยผู้เขียน) การปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักของคนไทยเรามาเนิ่นนาน ที่นิยมปลูกกันไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งในบางภูมิภาคก็ยังปลูกไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาเที่ยวชมอีกด้วยอย่างเช่น ทางด้านภาคเหนือที่ปลูกนาข้าวแบบขั้นได สลับซับซ้อนกันไปมาอยู่ท่ามกลางหุบเขาที่เขียวขจี และความอุดมสมบูรณ์ไปทั่ว จนเกิดเป็นภาพที่งดงาม ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างก็นิยมมาท่องเที่ยวกันเป็นจำนวนมาก แถมเรายังได้เรียนรู้ถึงวิถีชีวิตประจำวันของชนเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นๆ อีกด้วย อย่างเช่น การทอผ้าหรือการทำเกษตรอื่น ๆ (ภาพโดยผู้เขียน) ทริปนี้ก็เป็นอีกทริปหนึ่งที่ผู้เขียนอยากไปสัมผัสกับบรรยากาศของนาข้าวขั้นบัน ได ที่เคยได้เห็นเพียงตามสื่อต่าง ๆ เท่านั้นครั้งนี้เราจึงตั้งใจที่จะไปสัมผัสกับสถานที่จริงกัน ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมในเชียงใหม่ ซึ่งที่แรกที่เราจะไปกันนั้นก็คือนาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง ที่ตั้งอยู่ที่ ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ใช้เส้นทางจากทางดอยอินทนนท์ขับไปเรื่อย ๆ จนถึงด่านของอุทยานแล้วเลี้ยวไปยังทางแยกที่จะไปยัง อ.แม่แจ่ม ขับต่อไปอีก 12 กิโลเมตร ก็จะพบป้ายน้ำตกแม่ปาน เลี้ยวขวาลงไปตามป้ายนั้น ในระหว่างนั้นจะผ่านน้ำตกห้วยทรายเหลือง น้ำตกแม่ปาน จนถึงลานจอดรถ แต่จากลานจอดรถจะไปป่าบงเปียง เป็นเส้นทางของรถโฟรวิว แล้วเข้าไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านป่าบงเปียง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 15-20 นาที เป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอ ที่ปลูกข้าวบนเนินเขาสูง บวกไปกับทิวทัศน์ ของเทือกเขาที่สลับซับซ้อน ซึ่งหากมองดูจากที่สูงแล้วนั้นเราก็จะเห็นภาพความสวย งามนี้ ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในช่วงที่เราไปนั้นอยู่ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ทำ ให้ได้สัมผัสกับบรรยากาศดี ๆ ของท้องทุ่งนา ที่แสนกว้างใหญ่และเขียวขจีแห่งนี้กันได้อย่างเต็มที่ แต่จะมีบ้างบางที่ ที่ได้ขับรถผ่านซึ่งก็อยู่ห่างกันไม่มากนักที่ได้เริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตกันไปบ้างแล้วก็มี (ภาพโดยผู้เขียน) โดยคืนนี้เราจะพักกันที่โฮมสเตย์ ที่มีกันอยู่หลายหลังไว้ให้บริการกับนักท่องเที่ยวโดย บ้านพักที่เราพักนั้นอยู่กลางทุ่งนาที่มองเห็นทุ่งนาได้รอบ 360 องศา พวกเราได้นั่งทานมื้อค่ำท่ามกลางบรรยากาศที่หนาวเย็นที่มีอุณหภูมิประมาณ 19-20 องศาบวกกับลมที่โชยพัดมาตลอดเวลา ก็ยิ่งเพิ่มความหนาวเย็นมากขึ้นไปอีก หลังจากที่เราได้นั่งย่อยอาหาร และรับลมที่หนาวสะท้านกันจนอิ่มเอมแล้ว ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปนอน เพื่อที่เราจะได้ออกเดินทางกันแต่เช้าไปยังสถานที่แห่งที่สองกันต่อในวันพรุ่งนี้(ภาพโดยผู้เขียน) เราออกเดินทางจากบ้านป่าบงเปียงแต่เช้า ผ่าน น้ำตกวชิรธาร ก็แวะเข้าไปชื่นชมกับความสวยงามกันอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนจะออกเดินทางไป แม่กลางหลวง ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง เป็นนาขั้นบันไดที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาของชนเผ่าปกาเกอะญอ (ภาพโดยผู้เขียน) การเดินทาง จากตัวเมืองเชียงใหม่ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่-ฮอด)ที่ ผ่าน อ.หางดง อ.สันป่าตองและ อ.จอมทองเป็นระยะทางถึง 50 กิโลเมตรโดยประมาณ แล้วเดินทางต่อไปตามเส้นทาง อ.จอมทอง อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ (ทางหลวงหมายเลข 1009) อีกประมาณ 26 กิโลเมตรจึงเลี้ยวซ้ายเข้าสู่บ้านแม่กลางหลวง ที่นี่จะมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีเช่นกัน และอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 19-20 องศา (ภาพโดยผู้เขียน) สถานที่สุดท้ายของทริปนี้ก็คือ หมู่บ้านผาหมอน เป็นหมู่บ้านขนาดกลาง ตั้งอยู่กลางหุบเขาใน ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง โดยหมู่บ้านนี้นั้นก็จะอยู่ห่างจากทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 1009 (จอมทอง-ดอยอินทนนท์) ประมาณ 7-10 กิโลเมตร เส้นทางจากถนนหลักเข้ามายังหมู่บ้านค่อนข้างลาดชัน และมีโค้งสลับซับซ้อน คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่มีอาชีพทำการเกษตรเป็นหลัก ซึ่งส่วนมากที่นิยมปลูกข้าวแล้ว ก็ยังนิยมปลูกต้นกุหลาบ รวมทั้งดอกไม้เมืองหนาวอื่น ๆ อีกด้วย สิ้นสุดการเดินทาง 3 คืน 4 วันของเราในครั้งนี้แล้ว ซึ่งเราตั้งใจที่จะไปสัมผัสกับบรรยากาศนาข้าวขั้นบันไดกันโดยเฉพาะที่หากใครได้ลองไปสัมผัสด้วยตัวเองแล้วก็จะหลงใหลในมนต์เสน่ห์แห่งท้องทุ่งกว้างที่เขียวขจี และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวชนเผ่า ที่จะทำให้คุณรู้สึกประทับใจ และหลง รักโดยไม่รู้ตัว