ช่วง Low Seasons ที่ผ่านมา ผมกับเคนได้รับมอบหมายให้เดินทางมาสำรวจเส้นทาง และโรงแรมที่โฮจิมินห์ และยังได้รับภารกิจพิเศษในการตามหาเม็ดบัว และน้ำปลาเวียดนามซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ แม้จะไปเวียดนามหลายครั้งหลายหน แต่นี่เป็นครั้งแรกของเราที่จะได้มาโฮจิมินห์ เมืองที่ผมเคยเข้าใจว่าเป็นเมืองหลวงของเวียดนาม เพราะชื่อเหมือนอดีตผู้นำคนสำคัญ เมืองที่ผมจะพาไปหลง ยืนงงกลางดงคนเวียดครับ นครโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh City) แม้จะไม่ใช่เมืองหลวงของเวียดนาม แต่ก็เป็นเมืองอุตสาหกรรมที่สำคัญ หลายโรงงาน และแหล่งการผลิตส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่นี่ ทำให้ที่นี่กลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีประชากรหนาแน่นที่สุดในประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะในโฮจิมินห์ มีประชากรอาศัยอยู่ถึง 3.4 ล้านคน เทียบกับฮานอยที่เป็นถึงเมืองหลวงของเวียดนาม กลับมีประชากรเพียง 1.4 ล้านคนครับ น้อยกว่าเกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว Tips: ย้อนกลับมามองประเทศไทย กรุงเทพมหานครของเรา เป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในไทย โดยมีประชากรอาศัยอยู่ถึง 5.1 ล้านคน จากกรุงเทพถึงโฮจิมินห์ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที เราตะลุยดูโรงแรมและทำงานก่อน จนถึงเวลาเย็นที่เป็นเวลาว่างของเราจึงได้ออกสำรวจเมือง เท่าที่ผมรู้จักเพื่อนเวียดนามหลายคน บางคนที่เป็นคนโฮจิมินห์เล่าให้ฟังว่า เขามักถูกคนฮานอยเหยียด แต่สารภาพว่า เวลาที่ผมเดินไปตามถนนในโฮจิมินห์ ผมกลับรู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่ เจริญเหมือนกรุงเทพฯเสียจนผมไม่ค่อยว้าวเท่ากับไปฮานอย เดี๋ยวก็โฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) เดี๋ยวก็ไซง่อน (Saigon) สรุปแล้วมันยังไงกันแน่? ผมเองก็สงสัยครับ และหลังจากหาประวัติอ่าน จึงได้ทราบว่า ชื่อเดิมของนครโฮจิมินห์ คือ ไซ่ง่อน ในช่วงสงครามเย็น ความแตกต่างทางอุดมการณ์แบ่งเวียดนามออกเป็น 2 ขั้ว คือขั้วนิยมคอมมิวนิสต์ หรือ เวียดนามเหนือ มีฮานอยเป็นเมืองใหญ่ นำโดยลุงโฮจิมินห์ มีจีนและสหภาพโซเวียตเป็น สปอนเซอร์หลัก อีกขั้วหนึ่งคือเวียดนามใต้ มีไซ่ง่อนเป็นเมืองใหญ่ มีอเมริกา และออสเตรเลียหนุนหลัง เมื่อสงครามเวียดนามจบลงด้วยชัยชนะของลุงโฮจิมินห์และเวียดนามเหนือ จึงได้เปลี่ยนชื่อจากไซ่ง่อน เป็น “โฮจิมินห์” เพื่อเป็นเกียรติแก่ชัยชนะของลุง และได้รับยกย่องเป็นรัฐบุรุษผู้รวมเวียดนามให้เป็นหนึ่งเดียว ชื่อไซ่ง่อน ยังเป็นตัวย่อของสนามบินโฮจิมินห์ ที่สร้างโดยรัฐบาลอาณานิคมฝรั่งเศสในปี 1930 สมัยที่ยังเป็นเพียงลานดินและยังใช้ชื่อไซ่ง่อนอยู่ เวลาจองไฟลท์เราจึงเห็นรหัสสนามบินของที่นี่ว่า SGN แทนที่จะเป็น HCM ครับ ตลาดเบ๋นถ่าน (Chợ Bến Thành) โรงแรมของเราตั้งอยู่ใกล้ตลาด ตลาดเบ๋นถ่านที่เป็นตลาดหลักของเมืองจึงเป็นที่แรกที่เราเดินผ่านและแวะเข้าไปเพื่อตามหาเม็ดบัวด้วย ที่นี่คล้ายกาดวโรรสที่เชียงใหม่ผสมจตุจักรครับ ส่วนใหญ่ขายธัญพืช ของที่ระลึกจำพวกเสื้อยืด เสื้อผ้าสกรีนแบรนด์ดังต่างๆ ของประดับสำหรับแต่งบ้าน ไปจนถึงเครื่องปรุง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเวียดนามครับ ธัญพืชอย่างเม็ดบัวที่เราตามหาก็มี แต่เป็นแบบชั่งกิโลขายซึ่งไม่ใช่อย่างที่เราตามหา จึงข้ามที่นี่ไปก่อน แต่หลังจากพยายามสื่อสารกับป้าที่ขายเครื่องปรุง ป้าแนะนำน้ำปลายี่ห้อถ่วนฟัด (Thuận Phát) บอกว่าอร่อยครับ นักท่องเที่ยวซื้อกลับกันไปเยอะ พร้อมกับแพ็คให้อย่างดี ที่นี่ทำให้ผมนึกถึงบรรยากาศของปากเกร็ดสมัยผมเด็กๆที่มีร้านน้ำ หรือร้านน้ำแข็งไสแบบนั่งกินที่ร้าน ไสให้กันสดๆ ที่นี่ไม่มีน้ำแข็งใส แต่เป็นร้านเคาน์เตอร์เล็กๆ ที่ทำน้ำปั่น และเสิร์ฟขนมหวานให้กินกันตรงนั้น อย่างที่ผมเคยเล่าว่าขนมไทยดังมากที่นั่น เราก็ได้มาเห็นเฉาก๊วยนมสด ลอดช่องที่ท้อปปิ้งด้วยขนุน และทับทิมกรอบใส่น้ำแข็งในแก้วเสิร์ฟทานแก้ร้อน มหาวิหารนอร์เธอร์ดาม (อีกแล้ว?) เราเดินงงทิศกับแผนที่อยู่พักหนึ่งกว่าจะรู้ตัวว่าเดินมาผิดทาง และกว่าจะถึงวิหารก็พระอาทิตย์เกือบตกดินแล้ว ดีหน่อยที่เป็นช่วงแดดร่มลมตก ไม่ร้อนมาก ในที่สุดก็มาถึงมหาวิหารนอร์เธอร์ดามแห่งนครไซ่ง่อน ถ้าได้อ่านหลายๆบทความเกี่ยวกับเวียดนามของผมก่อนหน้านี้จะพบว่า แทบทุกเมืองที่ผมกล่าวถึง มีโบสถ์นอร์เธอร์ดามทุกที่เลยครับ แต่สำหรับโฮจิมินห์ ที่นี่เป็นนอร์เธอร์ดามที่ต่างจากที่อื่น คือเป็น “มหาวิหารนอร์เธอร์ดาม” (Norte Dame Cathedral Basilica of Saigon) เป็นโบสถ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบิช้อป และเมื่อปี 1960 โป๊ปจอห์นที่ 13 ได้สถาปนาเขตการปกครองในเวียดนาม และตั้งมหาวิหารหลวงในหลายๆเมืองสำคัญของเวียดนาม หนึ่งในนั้น คือโบสถ์นอร์เธอร์ดามแห่งนี้ และได้สถาปนาชื่อใหม่ว่า Norte Dame Cathedral Basilica of Saigon มาจนถึงปัจจุบัน ข้อแตกต่างที่สำคัญซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเมืองโฮจิมินห์เลยก็ว่าได้ คือ รูปปั้นพระแม่มารี ที่ยืนตระหง่านอยู่หน้ามหาวิหาร ใครที่มาเยือนมหาวิหารแห่งนี้ ถ้าไม่ได้ขอพรหรือถ่ายรูปกับท่านเหมือนมาไม่ถึงครับ ผมเองแม้ไม่ใช่คนคริสต์ แต่ก็ขอพรให้เดินทางปลอดภัย น่าเสียดายที่ภายในโบสถ์ปิดซ่อม เลยไม่ได้เห็นสถาปัตยกรรมภายในและอาคารด้านหลังครับ ตึกไปรษณีย์กลางไซ่ง่อน (Saigon Central Post Office) ถ้าเรายืนจากมหาวิหารนอร์เธอร์ดาม สิ่งที่สะดุดตาคุณแทบจะในทันทีคืออาหารสีเหลือง-เขียวพาสเทลในสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial Style) มีนาฬิกาขนาดใหญ่อยู่หน้าอาคารที่ดูเผินๆนึกว่าหัวลำโพง จนทำให้ผมแอบสงสัยว่า ทำไมถึงมีสถานีรถไฟแถวนี้ด้วย ปรากฏว่านี่คือ ตึกไปรษณีย์กลางไซ่ง่อนครับ ภายในเมื่อเดินเข้าไปในสถานี ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์กำลังมารอขึ้นรถไฟชานชาลาเศษ 3/4 จากหลังคาที่โค้งสูงสไตล์โกธิค นาฬิกาบนตู้ไม้ที่เรียงรายบอกเวลาประเทศต่างๆ เคาน์เตอร์บริการที่ล้อมรอบ และเคาน์เตอร์ตรงกลางที่ขายโปสการ์ดที่ระลึก แสตมป์ และสิ่งที่ดึงดูดความสนใจผมอย่างมาก คือ เหรียญเงินด่องครับ ที่ผมสนใจสิ่งนี้เป็นพิเศษ เพราะธนาคารกลางของเวียดนามยกเลิกการใช้เหรียญไปตั้งแต่ปี 2003 ระบบเงินของเวียดนามในปัจจุบัน ไม่มีเหรียญใช้แล้ว ทั้งหมดเป็นธนบัตรตั้งแต่ 1.000 VND เลย เพื่อนชาวเวียดนามหลายคนที่มาไทยเองก็ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการใช้เหรียญที่ไทยเท่าไหร่นัก เช่นเดียวกับผมที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้เงินที่มีเลขศูนย์ยุ่บยั่บที่นั่น เหรียญจึงกลายเป็นของที่ระลึก หายาก และน่าตื่นเต้นสำหรับผมครับ เราเดินดูของที่ระลึกในปีก 2 ฝั่งของอาคารไปรษณีย์ แต่ยังไม่มีอะไรโดนใจ จึงเดินออกไปยังที่ถัดไปครับ อพาร์ทเมนต์กาแฟ (Cafe Apartment) “มากับเราไม่ต้องกลัวนะ” ผมบอกเคน “ไม่หลงอยู่แล้ว” เคนถาม “ไม่เหลืออยู่แล้ว กรุงเทพยังหลงเลย นี่โฮจิมินห์ จะเหลือเหรอ” ผมสร้างความมั่นใจอันหนักหน่วงให้เธอขณะเดินไปตามถนนเพื่อตามหาอพาร์ทเมนต์กาแฟที่ขึ้นชื่อ ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ที่ถนนจางเตียน (Trang Tien) ที่ฮานอย โรงโอเปร่าเล็กๆแอบซ่อนอยู่ในมุมหนึ่งของถนน ร้านของ Louis Vuitton ในตึกสถาปัตยกรรมโคโลเนียลยิ่งทำให้ยิ่งดูแพงขึ้นไปอีก ถนนกว้าง สะอาด และดูโมเดิร์นกว่าฮานอยมาก เราเดินชมเมืองไปเรื่อยๆ จนมาถึงลานกว้างกลางเมือง ในแผนที่มือถือของผมบอกว่าเรามาถึงอพาร์ทเมนต์กาแฟแล้ว ว่าแต่ ไหนล่ะ? เราพร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นไปมอง และเห็นร้านกาแฟเรียงรายไปทั้งตึกอยู่เหนือหัวเรานี่เอง แล้วจะขึ้นไปยังไง? ผมเดินนำเคนดุ่มๆเข้าไปในร้านหนังสือที่ใกล้ที่สุดเพราะเดาว่า น่าจะมีทางขึ้นได้แน่ๆ ก่อนที่คุณลุงรปภ.ที่เมื่อรู้ว่าเรากำลังตามหาอะไรจึงชี้มาข้างๆ ทางขึ้นอยู่ในตึกแถวเล็กๆที่ดูภายนอกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอะไรน่ารักๆซ่อนอยู่ข้างบน และเนื่องจากลิฟต์คิดค่าบริการด้วย ด้วยความงก ผมจึงชวนเคนเดินขึ้นครับ เราต้องเดินขึ้นบันไดไปประมาณ 5 ชั้นได้กว่าจะเจอร้าน เพราะแต่ละชั้นมีชั้นลอยด้วย เล่นเอาเหนื่อยหอบหน้าแดงทีเดียว เมื่อได้เห็นแต่ละร้านใกล้ๆ จึงรู้ว่า แต่ละร้านนั้น ขายเครื่องดื่มไม่เหมือนกันเลย บางร้านขายเฉพาะน้ำผลไม้ปั่น บางร้านขายบิงซู บางร้านขายเบียร์เวียดนามและกับแกล้ม บ้างเป็นร้านขนมฝรั่งเศสกับชา และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเปิดติดๆกันได้เป็นตึกขนาดนี้โดยไม่แย่งลูกค้ากัน หลังจากเดินรอบครึ่งเมืองมาร้อนๆ การได้จิบน้ำผลไม้ปั่นใส่โซดาเย็นๆ มองตึกระฟ้ามากมายทั่วเมืองที่กำลังสว่างขึ้นขณะที่ฟ้ากำลังมืดลง เป็นบรรยากาศที่ชวนหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง บนลานด้านล่างมีน้ำพุที่เปิดประกอบเสียงเพลงดังมาไกลๆ วัยรุ่นจับกลุ่มกันถ่ายรูป และเดินเล่นกันในลาน เป็นบรรยากาศที่ตรงข้ามกับฮานอยที่เป็นเมืองเก่าโดยสิ้นเชิง เราเดินกลับโรงแรม และในขณะที่เดินห่างออกมาจากตึกนั้น เราจึงได้เห็นภาพไฮไลท์ของที่นี่ คือ ตึกที่ร้านกาแฟแต่ละร้านเปิดไฟสว่างไสวหลากสีสัน ตัดกับความมืดของราตรีกาล หลังจากแวะซื้อขนมปังเวียดนามที่ผมยอมอัดยาแก้แพ้แป้ง ขอให้ได้กินขนมปังของโปรดเมื่อมาที่นี่ เราก็เดินตัดลานกลางเมืองมาอีกด้านหนึ่ง ศาลากลางเมืองไซ่ง่อน เด่นสง่าจากแสงไฟที่ขับให้สถาปัตยกรรมโคโลเนียลดูโดดเด่นและมีมนต์ขลัง ที่นี่ยังเป็นสถานที่ราชการที่ใช้งานจริง จึงไม่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมภายในครับ ได้แค่ถ่ายรูปจากภายนอกก็สวยแล้ว เรายังคงแวะตามร้านโชว์ห่วยต่างๆเพื่อตามหาเม็ดบัว ภารกิจที่ยังเหลืออยู่ของเรา จนในที่สุดก็มาถึงร้านโชว์ห่วยร้านหนึ่ง ขายทั้งเครื่องกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และเม็ดบัวในถุงสุญญากาศ ต้องขอบคุณภาษาเวียดนามอันน้อยนิดของผมที่สกิลพอใช้เถียงกับป้าคนขายได้ เพราะป้าทอนเงินผิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ป้าจะแอบมองบนและทอนเงินที่ถูกต้องกลับมาให้เรา ก่อนมาเวียดนาม ถ้าฝึกท่องตัวเลขเวียดนามได้บ้างจะเป็นประโยชน์มากเวลาซื้อของในร้านท้องถิ่นแบบนี้ครับ Tips: ตึกที่สูงที่สุดของเวียดนามคือตึก Landmark 81 ตั้งอยู่ที่โฮจิมินห์นี้เอง โดยทำลายสถิติของตึก Bitexco Financial Tower ซึ่งเคยครองอันดับตึกที่สูงที่สุดในเวียดนามมาจนถึงปี 2011 “พรุ่งนี้เราต้องไปไหนต่อนะ” ผมถามเคน แม้จะทำทัวร์ แต่ต้องสารภาพว่าผมไม่ค่อยสนใจอ่านโปรแกรมในมือเท่าไหร่นักซึ่งไม่ดีเลย “ไปคูชิ” เคนบอก “คูชิ คืออะไร ชื่อนางเอกหนังอินเดียหรอ” ผมได้ยินแม่พูดถึงซีรีย์อินเดียบ่อย เรื่องแผนรักลวงใจที่นางเอกชื่อ คูชิ “จะรู้มั้ย ก็เพิ่งมาพร้อมกันนี่แหละ” เธอกวนตอบผม ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน เตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับวันรุ่งขึ้น เครดิตภาพ: Pornpan Kleepkaew อ้างอิงเนื้อหา: worldometers theculturetrip1 theculturetrip2