คำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ไม่มีในโลก รวมทั้งชีวิตที่ใครพยายามจะสรรค์สร้างให้เป็นตามนั้น (หน้า 280) เราวาดฝันกันไม่รู้จักจบ บนแผ่นกระดาษ ไม่ได้สนใจว่ามันจะเป็นจริงขึ้นมาหรือไม่ ขอให้ได้ฝันตรงกันก็มีความสุข …ถ้าฝันครั้งแรกมันไม่เป็นจริง เราก็สร้างฝันครั้งที่สองขึ้นมาใหม่ กลัวอะไร (หน้า 158)ด้วยเหตุผลที่ยกมานี้กระมัง ว.วินิจฉัยกุล จึงได้สร้าง ความฝันครั้งที่สอง ขึ้นมา ในผลงานนวนิยายเรื่องเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่งของเธอความฝันครั้งที่สอง คือ ผลงานนวนิยายเรื่องใหม่ในยุคกึ่งทศวรรษหลังมานี้ของ ว.วินิจฉัยกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ที่บรรดาคอนวนิยายต่างรู้จักกันดี ว่านามปากกานี้ไม่เคยทำให้ผู้อ่านผิดหวังเลยสักครั้ง ซึ่งใน ความฝันครั้งที่สอง นี้ก็เช่นกันนวนิยายเรื่องนี้เคยตีพิมพ์เผยแพร่เป็นตอน ๆ ในนิตยสารสกุลไทยรายสัปดาห์ ราวปี พ.ศ. 2559 แต่ยังไม่ทันลงไปถึงตอนอวสาน นิตยสารดังกล่าวก็ต้องปิดตัวลงเสียก่อนในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน การพิมพ์รวมเล่มในต้นปี พ.ศ. 2560 โดยสำนักพิมพ์อรุณ จึงถือเป็นการตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกของนวนิยายเรื่องนี้ความฝันครั้งที่สอง กล่าวถึงเรื่องราวของชีวิตตัวละครหลายตัว ที่คาดว่าผู้ประพันธ์น่าจะได้แนวคิดมาจากข้อความใน หิโตปเทศ ของ เสถียรโกเศศและนาคะประทีป ดังข้อความที่ผู้ประพันธ์ได้ยกมากล่าวไว้ในหน้า 388 ความว่า “ไม้ท่อนหนึ่ง และไม้อีกท่อนหนึ่ง อาจจะประสบพบกันในห้วงมหาสมุทรแล้วก็จากกันไป ฉันใด, การมารวมกันของผู้ที่เกิดมาแล้ว ก็ฉันนั้นฯ”ในนวนิยายเรื่องนี้ ว.วินิจฉัยกุล ได้เล่าเรื่องผ่านการบันทึกบอกเล่าของ อิง ตัวละครเอกของเรื่อง ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ที่ต้องขอยกเอาคำพูดของ พี่อชิ ตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องขึ้นมา ‘ชมเชย’ การเล่าเรื่องของ อิง สักหน่อยว่า “เวลาอิงเล่า ไม่ใช่เห็นแต่ภาพ แต่ได้กลิ่น ได้ยินเสียง ได้สัมผัส ได้เดินไปด้วยทุกก้าว” (หน้า 203)เรื่องราวโดยสังเขปในนวนิยายกล่าวถึงชีวิตของผู้เล่าเรื่องคือ อิง ลูกสาวคนกลางผู้ที่เติบโตมาท่ามกลางครอบครัวที่มีพ่อผู้ใจเย็นและแม่ผู้ใช้อารมณ์ทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุผลลึก ๆ ที่ อิง ก็รู้ดี ว่าพ่อของเธอไม่ได้แต่งงานกับแม่เพราะความรัก เนื่องจากพ่อได้มอบใจรักไว้ให้กับน้าสาวของเธอตั้งแต่แรกพบ ...น้าสาวผู้ซึ่งเป็นน้องสาวของแม่เองด้วยเหตุนี้แม่จึงเก็บความโกรธที่มีต่อพ่อและน้าสาวสุมเอาไว้ภายในใจตลอดมา ในขณะที่ตัวเธอเองก็เก็บเอาภาพจำของการแต่งงานที่ไม่ได้เกิดจากความรัก ระหว่างพ่อกับแม่ไว้เป็นบทเรียนเสมอ ว่าเธอไม่มีวันจะเดินตามรอยนั้นเป็นเด็ดขาด การเลือกผู้ชายที่จะกลายมาเป็นคู่ชีวิตของเธอจึงค่อนข้างจะมีความพิถีพิถันเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น คม ชายหนุ่มเจ้าเสน่ห์ฐานะดีเพื่อนสนิทของ อู๋ พี่ชายของเธอเอง มินท์ เพื่อนร่วมชั้นเรียนในมหาวิทยาลัยที่เธอเห็นว่าเขาเป็นผู้ชายแสนดี แต่แม่กับพี่ชายของเธอไม่ชอบหน้าด้วยว่าฐานะของมินท์นั้นค่อนข้างยากจน และ พี่อชิ พี่ชายคนโตในครอบครัวของ คม ที่อิงเห็นว่าเป็นผู้ชายที่มีความอ่อนโยนและเป็นมิตรกับเธอมากที่สุด หากแต่ก็ยังมีบางมุมของเขาที่เธอไม่อาจเข้าถึง ฉันชอบพ่อทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าพ่อรักน้องเมีย พ่อมีเมียน้อย พ่อไม่ใช่เทวดามาจากไหน ผิดกับแม่ซึ่งเป็นผู้หญิงดี ไม่มีใครตำหนิแม่ได้ว่าทำชั่วเรื่องใดทั้งสิ้น แต่ก็แปลกที่ลูก ๆ ทั้งสามคน โดยเฉพาะแอ้น ไม่ยักผูกพันกับแม่มากเท่าที่ควร ...บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าโลกไม่ยุติธรรมกับแม่นัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะฉันก็เป็นคนหนึ่งที่ช่วยสร้างความไม่ยุติธรรมให้แม่เหมือนกัน (หน้า 156)อิง พยายามนำเสนอเรื่องราวที่ไม่สมหวังในชีวิตของบุคคลรอบข้างผ่านการบอกเล่าของเธอเอง ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของแม่ พ่อ น้าสาว พี่ชาย น้องสาว เพื่อนของพี่ชาย เป็นต้น จนกระทั่งมาถึงเรื่องราวของเธอเอง ทั้ง ๆ ที่เธอก็คิดว่าเธอได้สร้างความฝันของเธอเอาไว้ดีที่สุดกับคนที่คิดว่าดีที่สุดแล้วก็ตามที แก่นเรื่องของนวนิยายเรื่องนี้ จึงคล้ายกับจะส่ง ‘สาร’ แก่ผู้อ่านว่าชีวิตของคนเรานั้นสามารถสร้างความฝันได้หลายครั้ง ถ้าครั้งแรกมันไม่สมดังใจ เราก็สามารถที่จะสร้างความฝันครั้งที่หนึ่ง สอง สาม ไปได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จบ เหมือนกับที่ตัวละครหลายตัวในเรื่องนี้พยายามทำให้เราเห็น แต่ก็นั่นแหละ เวลาที่เราอ่านนวนิยาย จุดประสงค์หลักเราไม่ได้ต้องการเสพ ‘แก่นเรื่อง’ หากแต่เราต้องการเสพ ‘อรรถ’ จาก ‘รส’ ของ ‘เนื้อเรื่อง’ ต่างหาก ซึ่งผลงานนวนิยายจากปลายปากกาของ ว.วินิจฉัยกุล ก็ไม่เคยทำให้ผู้อ่านผิดหวัง “ฉันสงสารคนรอบตัวที่ล้วนมีความฝันครั้งแรกที่ล้มเหลว ...พ่อใฝ่ฝันอยากแต่งงานกับเด็กสาวที่เป็นรักแรกพบ แต่ฝันพ่อก็ไม่เคยเป็นความจริง ผู้หญิงแต่ละคนที่เข้ามาในชีวิตพ่อ ล้วนแต่ไม่ใช่คนที่พ่อต้องการจริงจัง ... น้าหมุยเซียงเองก็ไม่สมหวังกับความฝันครั้งแรกของพ่อ แม้ว่าสวย มีเสน่ห์ เป็นที่หมายปองของผู้ชายเกือบทั้งอำเภอ แต่เธอก็ไม่อาจเอื้อมมือถึงผู้ชายคนแรกที่เธอรักจนแล้วจนรอด” (หน้า 158)ว.วินิจฉัยกุล ดำเนินเรื่อง ความฝันครั้งที่สอง ด้วยความกระชับฉับไว ไม่เยิ่นเย้อ จนในบางบทตอนของนิยายสามารถนำไปสร้างเป็นบทละครโทรทัศน์ตอนหนึ่ง ๆ ได้เลยโดยไม่รู้สึกว่า ‘ยืดยาด’ ในขณะที่การเดินเรื่องโดยตลอดเกือบทุกบท ก็มีการสอดแทรกคำคมเพื่อตั้งคำถามกับชีวิตเอาไว้เป็นระยะ ๆ ตามแนวถนัดของ ว.วินิจฉัยกุล ซึ่งโดยมากจะเป็นในเรื่องของการดำเนินชีวิตคู่และการเผชิญหน้ากับปัญหาของชีวิตที่หลายคนมักเหมารวมเรียกมันว่า “ชะตากรรม” “อย่างที่พระท่านว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน ...ไม่มีอะไรดีไปกว่ารับมือกับชีวิตด้วยความไม่ประมาท เป็นทางเดียวที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาได้...มีใครบ้างไม่ต้องทน เราทุกคนต้องอดทน ไม่อะไรก็อะไรสักอย่าง ชีวิตถ้าผ่านไปได้มันก็เป็นรางวัลชีวิต ถ้าผ่านไม่ไหวมันก็เป็นเคราะห์กรรม” (หน้า ๒๑๓)เสน่ห์อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในผลงานนวนิยายของ ว.วินิจฉัยกุล โดยเฉพาะในผลงานยุคหลัง ๆ มานี้ ก็คือการเพิ่มจุด ‘พีค’ - ‘หักมุมย่อย ๆ’ ในแต่ละช่วงของเนื้อเรื่อง ตลอดจนถึงความเด็ดขาดและแน่วแน่ของตัวละคร หลังจากที่ตัวละครนั้น ๆ ผ่านประสบการณ์และพัฒนาการมาช่วงหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคาแรกเตอร์ของตัวละครเอก ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้งานเขียนของ ว.วินิจฉัยกุล มีความ ‘ล้ำหน้า’ ไปไกลกว่านักเขียนคนอื่น ๆ อีกทั้งยังอาจกล่าวได้ว่าเป็นนักเขียนที่พยายามทำลาย ‘ขนบ’ เดิม ๆ ของคาแรกเตอร์ตัวละครเอกในนวนิยายไทยที่นักอ่านคุ้นเคยก็ว่าได้ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนในขณะนั้นเลยก็คือทำให้การอ่านนวนิยายของนักเขียนผู้นี้ เป็นกิจกรรมที่ไม่น่าเบื่อหน่าย ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้นวนิยายขนาดหนากลายเป็นเรื่องที่อ่านให้จบได้ในระยะเวลาอันสั้นเราจะไม่เห็นภาพผู้หญิง-ผู้ชาย ที่ทน ‘ดักดาน’ อยู่กับชีวิตคู่ (ได้นาน) เหมือนนวนิยายเรื่องอื่นจากนวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งผู้ประพันธ์ก็สามารถสร้างภาพที่ว่านั้นออกมาได้อย่าง ‘สะใจ’ และ ‘สมจริง’ เสียด้วย โดยยืนพื้นอยู่บนหลักเหตุผลที่ว่า “คนฉลาดย่อมหาทางแก้ปัญหา ดีกว่าทนอยู่กับปัญหา” (หน้า 149) “ถ้าผู้หญิงยังรักอยู่ ยังไงก็ไม่ปล่อยมือ ถ้าปล่อยมือคือไม่รักอีกแล้ว” (หน้า 132) “พอตัดสินใจได้เด็ดขาด ฉันก็นึกชมตัวเองว่าเก่ง เป็นสาวมั่น ไม่อ่อนแออย่างผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ตัดใจจากแฟนไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามันเลวขนาดไหน ...ไม่เอาละ ฉันไม่อยากทนอย่างแม่ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะภักดีต่อคนที่ไม่ได้รักเรา” (หน้า 114) “เพราะคุณมัวแต่เอาเงินไปเลี้ยงกะหรี่ ใครมันบ้าพอจะทนคุณได้ก็บ้าไปเถอะ ฉันไม่ทน” (หน้า 359) “คุณทำผิดทั้งทางโลกและทางธรรม แล้วยังไม่รู้จักสำนึก ไปอยู่ที่อื่นเถอะ เราอยู่กันไม่ได้แล้ว” (หน้า 361)อิง ซึ่งเป็นตัวละครเอกที่ทำหน้าที่เล่าเรื่อง มีบทบาทตั้งแต่ตัวละครยังเป็นเด็กเล็ก ๆ จนเข้าสู่วัยยี่สิบต้น ๆ ไปจนถึงวัยใกล้เกษียณ สามารถถ่ายทอดแง่มุมของชีวิตคู่และชีวิตโสดออกมาได้อย่างน่าติดตาม ผ่านมุมมองอันหลากหลายช่วงวัยของเธอเอง ซึ่ง ว.วินิจฉัยกุล ก็สามารถ ‘แนบ’ แง่คิดต่าง ๆ ผ่านมุมมองของคนแต่ละช่วงวัยสอดแทรกเข้าไปในเนื้อนวนิยายของเธอได้อย่างแนบเนียน สมเหตุสมผลด้วยช่วงวัยของตัวละครเอก ไม่ให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเป็นการ ‘ยกมา’ เพื่อ ‘ยัดเยียด’ “‘แฟน’ ก็คือคนที่มีความสัมพันธ์มากกว่า ‘เพื่อน’ รอบ ๆ ตัวฉัน คือเด็กจากต่างจังหวัดส่วนใหญ่มาอยู่เมืองหลวง ก็เช่าห้องอยู่กันเป็นคู่ ๆ ตามหอพัก เช้าก็ไปเรียน เย็นก็กลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน ....เพราะอยู่ห่างไกลพ่อแม่...ไม่เห็นว่าคู่ไหนอยู่กันได้นานสักคู่...เรียนจบ...แยกย้ายกันไปคนละทาง” (หน้า 123) “ความสุขใจไม่ได้เป็นสิ่งหายากเลย มันไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในตัวผู้ชายคนเดียวหรือครอบครัวเดียวอย่างที่ฉันยึดมั่นมาตลอด แต่ความสุขเหมือนดอกไม้ดอกเล็กดอกน้อย บานสล้างเรียงรายอยู่รอบตัวเรานี่เอง เพียงแต่เราจะตาไวพอจะสังเกตเห็นมันหรือไม่เท่านั้น” (หน้า 381-382) “โลกมันก็เป็นอย่างงี้ละ คนทำดี ไม่ใช่ว่าจะปลอดพ้นจากทุกข์มากกว่าคนเลว แต่คนดีจะยึดกุศลธรรมค้ำจุนจิตใจ ทำให้จิตใจปลอดโปล่งได้เร็ว จากนั้นก็จะพ้นทุกข์ง่ายกว่า” (หน้า 379)หากมองโดยภาพรวมแล้ว ความฝันครั้งที่สอง ก็สามารถทำหน้าที่ของนวนิยายแนวสัจนิยมได้เกือบจะสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว ถ้าหากว่าผู้ประพันธ์จะไม่จบนวนิยายเรื่องนี้ลงในแบบพาฝัน จนทำให้โทนเข้ม ๆ ในแนวเรียลลิสติกของเรื่องดูอ่อนลงไป กลายมาเป็นนวนิยายประโลมโลกย์ในตอนจบ ทั้ง ๆ ที่เนื้อหาในนวนิยายคลุมโทนทึบทะมึนในห้วงอารมณ์มาเกือบ 90 เปอร์เซ็นของเรื่อง แต่ก็นั่นแหละ ผู้ประพันธ์อาจจะต้องการ ‘ประโลม’ ความฝันครั้งที่สองให้แก่ผู้อ่านบ้างก็เป็นได้ หลังจากที่ละเลงความเจ็บในความจริงของชีวิตให้ผู้อ่านมาตลอดเกือบทั้งเรื่องแล้ว ... ทั้งนี้ก็เพราะว่าความ (ใฝ่) ฝันนั้น โดยมากแล้วมันมักจะสวยงามเสมอ!ภาพประกอบ โดย ผู้เขียน