โดยปกติแล้วนั้น ไต ถือเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกายที่ไม่ได้มีหน้าที่แค่กรองของเสียต่าง ๆ ออกจากกระแสเลือดแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไตยังเกี่ยวข้องกับการควบคุมสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย อีกทั้งไตยังมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือดและฮอร์โมนบางชนิดอีกด้วย ดังนั้นเมื่อไตทำงานผิดปกติไปจนถึงขั้นเป็น โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease) ไตก็จะสามารถทำหน้าที่ต่าง ๆ ได้ลดน้อยลงมากจนทำให้ร่างกายเกิดภาวะที่เสียสมดุลไปปัจจุบัน นอกจากวิธีการปลูกถ่ายไตยังไม่มียาชนิดใดที่สามารถฟื้นฟูไตที่เสื่อมสภาพไปแล้วให้กลับมาทำงานได้ดีดังเดิมได้ การรักษาโรคไตวายเรื้อรังจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคองอาการไม่ให้ภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จากไตวายนั้นเกินขึ้น เราจึงจะเห็นผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังจำเป็นต้องรับประทานยามากมายหลายชนิดร่วมกันเป็นจำนวนมากในแต่ละวันซึ่ง แคลเซียม (Calcium) นั้นก็ถือเป็นหนึ่งในยาที่ช่วยประคับประคองอาการของผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังด้วยเช่นกันค่ะทำไมผู้ป่วยไตวายเรื้อรังต้องรับประทานแคลเซียมการที่ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังต้องรับประทานแคลเซียมนั้นไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเสริมแคลเซียมและบำรุงกระดูกอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ข้อบ่งใช้ของแคลเซียมในผู้ป่วยกลุ่มนี้คือเพื่อให้แคลเซียมช่วยไปขับแร่ธาตุที่มีชื่อว่า ฟอสฟอรัส (Phosphorus) หรือ ฟอสเฟต (Phosphate) ออกจากร่างกายเนื่องจากในภาวะปกติ ไตจะมีหน้าที่ในการรักษาสมดุลของเกลือแร่รวมถึงการขับฟอสฟอรัสออกจากร่างกาย ดังนั้นเมื่อไตเสียหน้าที่ไปจึงทำให้เกิดการสะสมของฟอสเฟตในกระแสเลือดสูงขึ้น โดยระดับฟอสเฟตในเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นนี้จะไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ มากดการสร้างวิตามิน D ที่ช่วยในการดูดซึมแคลเซียมจากลำไส้ จึงทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดนั้นลดต่ำลงตามไปด้วยและเนื่องจากแคลเซียมถือเป็นแร่ธาตุสำคัญที่อวัยวะต่าง ๆ จำเป็นจะต้องใช้เพื่อให้สามารถทำงานได้ตามปกติ เพราะหากแคลเซียมในกระแสเลือดลดต่ำลงมากก็จะทำให้อวัยวะสำคัญของร่างกายทำงานผิดปกติไปจนเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ในที่สุด ร่างกายจึงตอบสนองต่อภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำด้วยการไปสลายเอาแคลเซียมจากกระดูกออกมาเพื่อเพิ่มระดับแคลเซียมในกระแสเลือด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่มีภาวะฟอสเฟตในเลือดสูงนั้นเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุนหรือกระดูกหักขึ้นได้และถึงแม้ว่าระดับแคลเซียมในกระแสเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นจากการสลายเอาแคลเซียมจากกระดูกออกมาใช้ แต่หากระดับฟอสเฟตในเลือดยังคงสูงอยู่ก็จะทำให้ยังคงมีการกระตุ้นการสลายกระดูกอย่างต่อเนื่อง จึงอาจทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในกระแสเลือดเพิ่มสูงและไปสะสมตกตะกอนตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกายได้อีกด้วย ดังนั้นการรักษาระดับฟอสเฟตในเลือดให้อยู่ในระดับปกติสำหรับผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังจึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งค่ะ การรับประทานแคลเซียมเพื่อเป็นยาช่วยขับแร่ธาตุฟอสเฟตสำหรับวิธีการรักษาภาวะฟอสเฟตในเลือดสูงนอกจากการฟอกไตนั้นก็คือการรับประทานยาช่วยจับฟอสเฟตนั่นเองค่ะ ซึ่งแคลเซียมนั้นถือถือเป็นยาชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพดี สามารถใช้ในการจับกับแร่ธาตุฟอสเฟตในอาหารก่อนที่ฟอสเฟตจะถูกดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดได้ ปัจจุบันจึงได้มีการใช้แคลเซียมในการรักษาภาวะฟอสเฟตในเลือดสูงในผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งขนาดที่แนะนำให้รับประทานก็คือ 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยแบ่งให้เป็นมื้อละ 500 มิลลิกรัม วันละ 3 มื้อตามมื้ออาหารที่ผู้ป่วยรับประทานทั้งนี้ เพื่อให้แคลเซียมออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้ป่วยจะต้องรับประทานแคลเซียมโดยเคี้ยวพร้อมกับอาหารคำแรกในแต่ละมื้อนะคะ เพราะการเคี้ยวจะช่วยให้แคลเซียมแตกตัวได้ดีและไปจับกับฟอสเฟตในมื้ออาหารได้ดีขึ้น แต่หากลืมรับประทานแคลเซียมพร้อมอาหารคำแรกจริง ๆ ก็ให้รับประทานหลังอาหารได้ภายในครึ่งชั่วโมงค่ะ ซึ่งฟอสเฟตส่วนเกินเหล่านั้นก็จะถูกแคลเซียมจับเอาไว้กลายเป็นสารที่ดูดซึมไม่ได้และจะถูกขับออกจากลำไส้ไปกับอุจจาระในที่สุด เมื่อร่างกายไม่สามารถดูดซึมฟอสเฟตจากอาหารเข้าไปได้ ก็จะทำให้ระดับฟอสเฟตในเลือดลดลงตามลำดับค่ะและจากที่ได้กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่าระดับฟอสเฟตในกระแสเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นย่อมส่งผลเสียต่อการทำงานของร่างกายได้อย่างมากมาย การรับประทานแคลเซียมอย่างถูกวิธีตรงตามที่ฉลากยาระบุจึงช่วยให้ระดับฟอสเฟตในเลือดลงลง ส่งผลให้โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ดังที่กล่าวไปลดลงตามไปด้วย และนอกจากการรับประทานแคลเซียมเพื่อช่วยในการขับฟอสเฟตแล้วนั้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีฟอสเฟตต่ำก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังจะต้องปฏิบัติเช่นกัน และถ้าหากใครอยากทราบว่าอาหารชนิดใดบ้างที่มีฟอสเฟตสูง หรืออาหารชนิดใดบ้างที่ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังควรหลีกเลี่ยง ก็จะต้องรอติดตามกันต่อไปในบทความหน้าค่ะภาพประกอบบทความ : ภาพปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4อ้างอิงข้อมูล : Kidney Disease Improving Globalบทความอื่นเกี่ยวกับสุขภาพ💊 จริงหรือไม่ ? กินยามากไปแล้วทำให้ "ไตวาย"💊 มารู้จักกับ "ยาวาร์ฟาริน (Warfarin)" ยาต้านการแข็งตัวของเลือด กันเถอะ💊 ยาชุด ยาอันตรายถึงตาย ไม่ว่าใครก็ควรหลีกเลี่ยง !💊 ปัญหาการกินยาที่พบบ่อยใน "ผู้สูงอายุ"💊 กินยา "พาราเซตามอล" อย่างไร ให้ปลอดภัย