ทำความรู้จักกับแพลตฟอร์ม 3D Experience ที่ตอบโจทย์การทำงานของยุคปัจจุบันตั้งแต่เกิดเหตุการณ์โรคระบาด Covid-19 ขึ้น บริษัทหลายแห่งก็เริ่มปรับตัวโดยปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานให้สามารถ Work From Home หรือทำงานที่บ้านได้ ซอฟต์แวร์หลายตัวก็สามารถตอบโจทย์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประชุม การส่งไฟล์งาน แต่ยังมีอีกแพลตฟอร์มหนึ่งที่เหมาะกับงานด้าน Design และ Engineering ทำงานและจัดเก็บข้อมูลแบบ On Cloud นั่นก็คือแพลตฟอร์ม 3D Experience3D Experience คืออะไร?3D Experience เป็นแพลตฟอร์มที่ได้เกิดขึ้นจากยุค Industry 4.0 ที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น AR, VR, IoT, Smart Manufacturing หรือ 3D Printing โดยที่ 3D Experience เน้นการร่วมมือทำงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ รวบรวมทักษะของผู้ใช้งาน วิศวกร นักออกแบบ นักธุรกิจ ฯลฯ รวมถึงมี Application ที่ช่วยสนับสนุนด้านการทำงานให้ดาวน์โหลดอีกมากมายเรามาดูกันดีกว่าว่าคุณสมบัติของ 3D Experience มีอะไรบ้าง1. ทำงานและจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ คลาวด์เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่รองรับการทำงานบนเครือข่าย ใช้ในการจัดเก็บข้อมูล การติดตั้งฐานข้อมูล ใช้ฝากไฟล์ต่าง ๆ ตัวอย่างที่เรารู้จักกันดี เช่น Google Drive, One Drive หรือ iCloud เป็นต้น3D Experience ก็เป็นอีกหนึ่งแพลฟอร์มที่ทำงานแบบ On Cloud เช่นกัน ซึ่งข้อดีของการทำงานแบบ On Cloud ก็คือระบบจะมีความเสถียร (หากอินเทอร์เน็ตดี) ข้อมูลจะไม่สูญหาย ติดตั้งใช้งานเองได้มากขึ้น ทำให้มีอิสระทางความคิด2. ปรับแต่ง Dashboard เองได้ 3D Experience สามารถปรับแต่ง Dashboard ในการทำงานเองได้ คำว่า Dashboard เปรียบเสมือนหน้าที่เราเอาไว้ดูสรุปข้อมูลต่าง ๆ หรือเอาไว้จัดวางเครื่องมือในการทำงานต่าง ๆ นั่นเอง ราวกับว่าเราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาเครื่องมือไหนใส่ไว้ในกล่องอุปกรณ์ของเราบ้างเพราะยุคนี้เป็นยุคที่เราต่างต้องการสิ่งที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด แต่ละคนถนัดใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ไม่เหมือนกัน ดังนั้น 3D Experience จะเข้าตอบโจทย์ตรงนี้ โดยหน้าต่างการทำงานสามารถเพิ่ม Application หรือเอาออกได้ตามต้องการ3. มีอิสระในการทำงาน – ทุกอุปกรณ์ ทุกที่ ทุกเวลาโดยปกติแล้ว หากเป็นงาน Design Engineering หรืองานออกแบบสามมิติ ฮาร์ดแวร์ที่ดีจำเป็นอย่างยิ่งต่อการประมวลผลภาพกราฟฟิคต่าง ๆ แต่ 3D Experience พิเศษมาก ๆ ตรงที่ใช้ได้กับ “ทุกอุปกรณ์” แม้กระทั่งแท็บเล็ต ก็สามารถใช้ทำงานได้อิสระต่อมาคือสามารถทำงานได้ “ทุกที่” บนโลกนี้ เพราะทุกอย่างเข้าทาง Browser ของเว็บ เพียงแค่มีรหัสผ่านก็สามารถ Log In เข้าทำงานได้ แถมยังทำงานได้ “ทุกเวลา” อีกด้วย เพราะเอาเข้าจริง เราก็ไม่รู้ว่าไอเดียจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่3D Experience สามารถทำให้เหมือนทุกคนนั่งทำงานในห้องด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน ก็สามารถสื่อสารการทำงานกันอย่างลงตัว เหมาะสำหรับการ Work From Home หรือการทำงานร่วมกันข้ามทวีปสุด ๆ4. ร่วมมือกันทำงานให้สำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพสิ่งที่เป็น Highlight ของ 3D Experience ก็คือความสามารถในการทำงานร่วมกับคนที่ใช่ สมมติว่าต้องการจะออกแบบงานชิ้นหนึ่ง 3D Experience จะช่วยให้สามารถหาทั้งผู้ออกแบบ ผู้ผลิต ไปจนไปถึงผู้ขายและนักการตลาดได้แบบครบวงจร เพราะแพลตฟอร์มนี้มี Community ที่สามารถมองหาคนที่มีความต้องการเหมือน ๆ กัน คล้าย ๆ กับ Facebook, Twitter, LinkedIn ในวงการของ Engineer5. ต่อยอดโอกาสใหม่ ๆ บนโลก Socialสิ่งที่เป็นความสนุกของแพลตฟอร์มนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือการมี Social หรือมีสังคมบนโลกออนไลน์ อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้อก่อนหน้านี้ว่าคล้าย ๆ Facebook แต่เป็น Facebook ที่คัดคนมีคุณภาพ มีทักษะความสามารถ และมีเงินทุนในการต่อยอดไอเดียของเราโดยมี Social Collaborate ที่เป็นตัวกลางในการโชว์ผลงาน แลกเปลี่ยนไอเดีย หรืออาจจะมีโอกาสได้ร่วมงานกับธุรกิจใหญ่ ๆ ก็เป็นไปได้ และยังมี Market Place ที่เอาไว้ซื้อขายผลงานกันอีกด้วยและนี่ก็คือเรื่องราวของ 3D Experience ที่จะเข้ามามีบทบาทในทุก ๆ อุตสาหกรรม ถ้าไม่อยากตกหล่นเทรนด์ของยุคนี้ การศึกษาเรื่องราวของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เป็นสิ่งจำเป็นอยู่ไม่น้อย และใครที่สนใจอยากจะสอบถามเกี่ยวกับ 3D Experience สามารถติดต่อมาได้ที่ LINE@ คลิก https://bit.ly/2yrNF24และทำความรู้จักกับ 3D Experience มากยิ่งขึ้น ได้ที่คลิปนี้เลย คลิกบทความโดย โอ้เข้ามาพูดคุยกันได้ที่Facebook : fb.me/justlearntogetherFan Page : fb.me/ohkansiriYouTube : https://bit.ly/2PpkbZuWebsite : http://justlearntogether.com/Blog : https://cities.trueid.net/@8408เครดิตรูปภาพทั้งหมดภาพปก : จากเจ้าของบทความภาพที่ 1 : เครดิตรูปภาพ คลิกภาพที่ 2 : เครดิตรูปภาพ คลิกภาพที่ 3 : จากเจ้าของบทความ