สถานที่แห่งแรก ที่ต้องเข้ามากราบนมัสการเพื่อเป็นศิริมงคลต่อตัวเอง ซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อหิน พระพุทธรูปอู่ทองรุ่น 2 เศียรพระอวโรกิเตศวร และอดีตท่านเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้ ฝูงนกพิพราบโบยบิน หาเดินทางมาแล้วเหนื่อยๆ หยุดชมดูการเคลื่อนที่ สยายปีกของมัน ฟังเสียง กรู้ๆ เป็นระยะ ก็ช่วยให้เราเพลิดเพลินได้ไม่น้อย บ้างก็บินลงมากินน้ำที่พื้นปูน ทั้งสถานที่จอดรถที่กว้างขวางสะดวกสบาย เห็นแล้วอิจฉาเจ้านกน้อยที่ มีอิสระจะไปไหนก็อาศัยปีกบีนไปเรื่อย รอบๆบริเวณมณฑป มีต้นไม้พุ่มเล็กพุ่มน้อย ได้ยินเสียงระฆังดังเป็นระยะเมื่อลมพัดมากระทบ กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกลั่นทมสีขาวที่ออกช่อชู ซึ่งอยู่อีกฝากของมณฑปไม่ไกลโรงลิเกเก่า มีเจ้าเต่าน้อยคลานต้วมเตี้ยมอยู่ในสระเล็กๆที่ทางวัดทำไว้ให้มันอาศัยเพราะผู้ใจบุญเจอมากลางทางกลัวจะถูกรถเหยียบก็เอามาให้วัดดูแล เหลือแต่ผู้เขียนที่แหละที่อีกหน่อยก็คงไม่พ้นเข้าวัด เกริ่นกล่าวเล่าขาน ก่อนอื่นเลยสิ่งที่เราจะได้พบกับโบราณวัตถุ โบราณสถาน ภาพจิตรกรรมต่างๆนั้น จะนำท่านเข้าสู่ 4 สิ่งควรรู่ และ 1 สิ่งความเชื่อสำหรับสายมูเตรูทุกท่าน ในวัดโพธารามแห่งนี้ 4 สิ่งศิลปกรรมโบราณ ประกอบไปด้วย 1.พระหิน 2.พระเศียรรูปพระอวโรกิเตศวร 3.พระพุทธรูปอื่นๆในมณฑปพระศิลา 4.โบสถ์เก่าและจิตรกรรมฝาผนัง 3 สิ่งแรกจะอยู่ในมณฑปที่ตรงบริเวณด้านหน้า ก่อนเข้าไปภายในกราบไหว้ขอพร ให้ถามเจ้าหน้าที่แถวนั้นว่าวันนี้มณฑปเปิดหรือไม่ 1 สิ่งความเชื่อ ความลี้ลับ ความศักดิ์สิทธ์ คือ เรือโบราณ ณ จุดนี้ สำหรับท่านที่ชื่นชอบการเสี่ยงโชค ขอลาภ ขอพรแม่เรือแม่นางไม้ จะอยู่ด้านโรงลิเกเก่า เข้ามาก็เห็นเลยทีเดียวเล่าเรื่องเมืองย้อนไปในอดีตก่อนจะเป็นเมืองแพรก เมืองโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในอำเภอสรรคบุรี อันเป็นเมืองโบราณในสมัยทวารวดี เห็นจะหนีไม่พ้นเมืองโบราณดงคอน อยู่ในเขตเทศบาลตำบลดงคอน ดังที่กล่าวไว้แล้วในบทความแรกๆ เรื่องของคลองคลองหัวหนองซึ่งเชื่อมต่อกันระหว่างเมืองโบราณแห่งนี้ บริเวณนอกเมืองห่างออกไปไม่ไกลนัก ยังพบโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า “โคกปราสาท” ซึ่งปัจจุบันเหลือแต่เพียงซากอิฐที่ถูกสร้างขึ้นจากก้อนอิฐขนาดใหญ่ ค้นพบโบราณวัตถุต่าง ๆ อาทิเช่น กำไล ใบหอก ขวาน เหรียญเงินประทับตราสังข์และรูปศรีวัตสะพร้อมอักษรปัลลวะ หลักฐานชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งก็คือ แผ่นศิลานูนต่ำรูปพระพุทธเจ้าปางสมาธิขนาบข้างด้วยเสาธรรมจักรและสถูป บางส่วนได้ถูกจัดเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ชัยนาทมุนี เขตอำเภอเมือง ซึ่งหลักฐานเหล่านี้สามารถกำหนดอายุได้เก่าแก่ถึงราวพุทธศตวรรษที่ 12 หรือต้นสมัยทวารวดี ชุมชนโบราณแห่งนี้ยังปรากฎร่องรอยการอยู่อาศัยต่อมายังสมัยสุโขทัยและอยุธยา เนื่องจากมีการค้นพบเครื่องถ้วยสังคโลกและเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์หมิงซึ่งได้ขุดค้นพบใหม่ล่าสุดที่วัดมหาธาตุ ขณะปรับปรุงโบราณสถาน รวมถึงพระพุทธรูปหินทรายสมัยอยุธยา ร่องรอยของเมืองโบราณดงคอนนี้จึงน่าจะมีความเกี่ยวข้องต่อเนี่องกับการก่อตั้งชุมชน “เมืองแพรก” ขึ้นในช่วงเวลาต่อมาเกร็ดความรู้สู่ยุคโบราณ หลวงพ่อหิน หรือหลวงพ่อศิลา นี้ เป็นพระพุทธรูปแกะสลักนูนสูงที่สร้างขึ้นจากศิลาแลง โดยมีแผ่นหลังเป็นวงโค้งรูปเกือกม้า พระพุทธรูปแสดงปางสมาธิราบ โดยนั่งขัดสมาธิหลวมๆ พระพักตร์มีลักษณะแป้นกลม ทรงจีวรแบบเฉวียงบ่า มีพระอุษณีษะเป็นต่อมนูนใหญ่ แต่ไม่ปรากฎรัศมีเปลว บริเวณรอบพระเศียรบนแผ่นหลังมีร่องรอยการแกะสลักเป็นเส้นบางเบาลักษณะคล้ายเรือนแก้วและมีเส้นขวดม้วนขึ้นบริเวณหัวไหล่พระพักต์ของพระพุทธรูปได้รับอิทธิพลทวารวดีในยุค ที่ 2 นั่นคือยุคที่ได้รับอิทธิพลศิลปะพื้นเมือง อายุอยู่ในช่วงราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 บวกลบไม่เกิน 1301 ปี ลบด้วย 2563 อายุหลวงพ่อหินนี้ประมาณ 1200 ขึ้นไป หลวงพ่อหินศิลปะทวารวดียุคที่ 2 อิทธพลหน้าพื้นเมือง พระเศียรรูปพระอวโรกิเตศวร นี้ สลักจากหินทรายสีเทา ถูกบูรณมาแล้ว สังเกตุจากบริเวณรอยปลายพระนาสิก เป็นพระอวโรกิเตศวรในศาสนาพุทธแบบมหายานอย่างชัดเจน มีมวยผมที่เรียกว่า “ชฎามงกุฎ” คือการมัดรวบเส้นผมเป็นมวยผมทรงกระบอกเหนือศรีษะ อันเป็นทรงผมพิเศษของนักบวช มักปรากฏเฉพาะรูปพระโพธิสัตว์ และพระศิวะในศาสนาฮินดู สังเกตได้ไม่ยากว่า องค์ไหนเป็นใคร จะมีลักษณะเครื่องประดับที่แตกต่างกัน เช่น พระศิวะจะมีพระจันทร์เสี้ยว แต่พระโพธิสัตว์จะมีรูป อมิตาภะ อยู่นั่นเอง สำหรับพระอวโรกิเตศวรนั้น จะรูปสัญลักษณ์ธยานิพุทธอมิตาภะ คือคล้ายพระพุทธรูปนั่งสมาธิ ประดับอยู่ตรงส่วนหน้าของมวยผม ส่วนองค์ลำตัวได้หักพังลงไปซึ่งค้นพบจากวัดตรัยตรึง ห่างออกไปไม่ไกลนัก เสียดายที่องค์ลำตัวได้พังหายไป หากนึภภาพไม่ออกให้นึกถึง พระอวโรกิเตศวรที่ปราสาทเมืองสิงห์ ในจังหวัดกาญจนบุรี อันที่จริงแล้วในเขตอำเภอสรรคบุรียังพบศิลปะขอมซึ่งอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 16 ถึง 18 ในเวลานั้นเมืองพระนครได้แผ่อิทธิพพลเข้ามา ฉะนั้นจึงนับได้ว่ารวมทั้งศาสนาพุทธแบบมหายามที่เริ่มมีอิทธิพลเหนือฮินดูในช่วงหลังของสมัยนครวัด จนในสมัยต่อมาคือสมัยบายน พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งนครธมผู้สร้างปราสาทบายน ได้เปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนาพุทธแบบมหายาน นับอายุอยู่ในราว 800 ปีบวกลบไม่เกิน และยังมีพระพุทธรูป และทับหลัง ภายในวัดต่างๆ ซึ่งในอดีต มีวัดไม่ต่ำกว่า 300 -500 วัด หากเพียงว่า ชาวบ้านได้ใช้ทำการเกษตรปลูกบ้านเรือน ทำนา วัดร้างบางแห่งก็ถูกรื้อถอนเอาอิฐหินไปสร้างวัดใหม่ แต่ก็ยังพบเห็นเจดีย์ร้างอยู่หลายแห่ง ตามท้องนา พระพุทธรูปอู่ทอง องค์นี้จัดอยู่ในศิลปะอยุธยา-อู่ทอง2 สกุลช่างสุโขทัย ในสมัยของเจ้าสามพระยา ซึ่งมีลักษณะดังนี้ มีรัศมีเปลวสูงขี้นเหมือนปลีกล้วย พระพักตร์ยาวรีแบบหน้านาง มีปลายพระกรรณ(ติ่งหู) มีไรพระศกเป็นขอบบางๆโค้งไปตามแนวพระขนง มีพระโอษฐ์เล็กบาง มักประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานหน้ากระดาน มีลักษณะพระองค์บางโปร่ง ห่มจีวรเฉียงชายสังฆาฎิยาวปลายตัด แต่มีการบูรณะรัศมีเปลวสังเกตุจากรอยต่อ จึงสามารถกำหนดอายุของพระพทธรูปนี้ได้ ราวตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 20 นับปีพ.ศ ช่วงยุคกลาง คือ ปี 1967 – 1991 สรุปอายุราว 596 ปี บวกลบไม่เกินนี้4.โบสถ์เก่าและจิตรกรรมฝาผนัง ตัวอาคารเป็นการก่อสร้างแบบอิทธิพลจีนในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการลดทอนช่อฟ้าใบระกา ปรับทรงหลังคาให้เป็นทรงจั่วแบบจีนที่นิยมกันใน มีการตกแต่งด้วยภาชนะกระเบื้องเคลือบหลายชนิดบนเครื่องหลังคาของตัวอาคารยังปรากฏรูปปั้นตัวสัตว์ตามคติจีน เป็นรูปตัวสิงห์จีนหรือตัว “ชิสือ” ตามความเชื่อในคติจีน สิงห์เป็นพญาสัตว์ที่คอยปกป้องพุทธศาสนา เป็นสัญลักษณ์ของพลังอันกล้าแข็ง การประดับด้วยสิงห์จะสื่อถึงพลังอำนาจในการปกป้องคุ้มครองดินแดนต่างๆ และคอยปกป้องพระพุทธศาสนา อายุราวช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2367-2394) ในสมัยรัชกาลที่สามนั่นมีการค้าขายกับต่างประเทศ จนมีคำตั้งพระฉายาว่า “เจ้าสัว” นอกจากนั้นรอบโบสถ์มีซุ้มใบเสมาทรงเกี้ยวจีน บางท่านติดปากว่าเก๋งจีน อันเป็นแบบที่นิยมสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 และในซุ้มประดิษฐานใบเสมาสองชั้นอันแสดงถึงการเป็นพระอารามหลวง หรือในหนึ่งว่า ไม่ว่าศาสนาพุทธนิกายใดก็สามารถเข้ามาทำสังฆกรรมที่โบสถ์แห่งนี้ได้เสมอ ส่วนใบเสมานั้นสลักบุหลันดั้นเมฆเป็นลวดลายพระจันทร์บนเมฆแบบจีน ซึ่งในคติพุทธศาสนาแบบจีน พระจันทร์หมายถึงผู้ขจัดความมืดแห่งปัญญา ทางเข้าโบสถ์จะต้องเดินลัดเลาะมาฝั่งริมขวาของโรงลิเกเก่า ที่เก็บรักษาเรือโบราณ ทางวัดแห่งนี้กำลังปรับปรุง ป่าไม้ยางให้เป็นแหล่งปฏิบัติธรรม ถือศีลเจริญภาวนา ตามหลักพระพุทฑศาสนา หากช่วงหน้าฝนก็จะทุลักทุเลนิดหน่อย ด้วยเพิ่งถมดิน แต่ถ้าฝนไม่ตกก็เดินได้สะดวก ผู้เขียนมาปฏิบัติธรรมได้เจ็ดวันพอดี ได้เห็นโบราณสถาน โบราณวัตถุ จึงคิดว่า มาแล้วก็ไม่ให้เสียเวลา ถือบวชเสร็จ ก็เข้ามาทำข้อมูลให้ทุกท่านที่สนใจ งานโบราณสถาน โบราณวัตถุ และเข้ามาขอพอสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่อยู่ภายในวัด ไม่น่าเชื่อสายตาว่า ที่วัดแห่งนี้มีของดีหลบซ่อนอยู่ และเป็นโบสถ์สมัยรัชกาลที่ 3 เรียกได้ว่า แห่งเดียวในสรรคบุรี หรืออาจจะแห่งเดียวในชัยนาท ก็ว่าได้ ผู้เฝ้าโบสถ์ของพระพุทธศาสนา นามว่า ชิสือ มีอยู่สองด้าน บนเครื่องหลังคา ตัวซ้ายมือหูหักหายไป แต่มันยังอ้าปากกว้างขจัดเอาสิ่งชั่วร้ายออกไปเสมอ ซุ้มหน้าโบสถ์ที่เหลือเพียงซุ้มเดียวยังคงตั้งตระหง่านรอผู้ที่รักในของเก่าโบราณได้เข้ามาเรียนรู้ ใบเสมา สองชั้นหินทรายที่สลักสัญลักษณ์ในยุคสมัยนิยม ด้วยความที่วัดแห่งนี้อยู่ติดแม่น้ำ และเคยเป็นวัดประจำอำเภอมาก่อน ก่อนที่อำเภอเก่าถูกไฟเผาไหม้ลง จึงได้ย้ายไปอยู่สร้างอำเภอใหม่ในปัจจุบัน วัดนี้จึงมิได้เป็นวัดประจำอำเภออีกเลย คนแถวนี้จึง เป็นคนบ้านซ่อง วัดก็เรียกวัดบ้านซ่อง หรือในนาม วัดโพธาราม บริเวณหน้าบรรณของประตู่โบสถ์ทั้งสองข้าง มีภาพจิตกรรมเขียนสีของฝีมือช่างเซี่ยงไฮ้ เป็นเรื่องราวคติสอนใจนิทานชาวจีน แต่ภาษาจีนอันนี้แปลไม่ออกคงต้องรบกวนผู้รู้มาแปลให้ เคยมีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาแปลให้แต่ ผู้เขียนลืม น่าตีให้กะโหลกสะเทือนเชียว โทษฐานขี้ลืม ข้อมูลบางส่วนในเนื้อหานี้ผู้เขียนได้เรียนกับอาจารย์ ดร.ปารย์รินทร์ อมรถาวรศักดิ์ ซึ่งครั้งแรกที่เข้ามาและช่วยทำข้อมูลโบราณสถานและโบราณวัตถุให้กับวัดโพธารามแห่งนี้ และที่พิเศษสุดคือ เข้ามาวัดนี้ ผู้เขียนถูกหวยไปราวๆ แปดหมื่น อันนี้ต้องกระซิบไว้ในฐานที่เข้าใจ จะเห็นได้ว่า เมื่อเดินเข้ามาแล้ว จากภาพ วิหารอยู่ทางซีกทางซ้ายซึ่งเป็นวิหารสมัยอยุทธยาตอนต้น จากที่กล่าวไว้ในช่วงปี 1967 ส่วนกระเบื้องหลังคาผุพัง ซ่อมแซมเป็นสังกะสีหมดแล้ว ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป และก็ถูกซ่อมแซมเช่นกัน คงจะเป็นช่างพื้นบ้านแถวนี้แหละ ด้านหลังวิหารยังมีร่องรอยของเจดีย์ที่โค่นล้มมา แต่ไม่เหลือความสมบูรณ์ มีเพียงอิฐแผ่นใหญ่ไว้ให้ชม ส่วนภายในโบสถ์ นั้น ประดิษฐานพระพุทธรูปเช่นกัน ศิลปะอู่ทอง ยุคเดียวกับที่มณฑป ภายในมีจิตกรรมฝาผนังโบสถ์ เขียนสีเอกรงค์ คงจะถูกเขียนขึ้นมาตั้งแต่การสร้างโบสถ์คือมีอายุในช่วงรัชสมัยพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่3 ภาพบางภาพที่เขียนมีลักษณะของการเขียนที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ในบางช่วงเป็นเพียงเส้นร่างและยังไม่ระบายสี และแสดงให้เห็นว่าช่างใช้วิธีการลงสีที่ละสี และสีที่ลงไปแล้วคือสีนวล สีเหลือง สีน้ำเงินและสีเขียวเท่านั้น บางช่วงมีการตัดเส้นด้วยสีดำ และบางช่วงแสดงแค่การถมสีแต่ยังไม่ได้ตัดเส้น เริ่มมีการคลี่คลายจารีตการวางองค์ประกอบแบบดั้งเดิม ด้านผนังทั้งทิศเหนือและใต้แสดงจารีตแบบเดิมโดยแบ่งพื้นที่เป็นสามส่วน ด้านบนของผนังแสดงภาพเทพชุมนุม ตอนกลางเป็นภาพเล่าเรื่องพระมาลัยเปิดโลก และตอนล่างวาดภาพบุคคลแสดงลักษณะคล้ายชาวเปอร์เซียแสดงถึงอิทธิพลต่างชาติเส้นการเดินทาง จากกรุงเทพมหานครเส้นเอเซีย เลี้ยวเข้าจังหวัดสิงห์บุรี-ชัยนาท เพื่อเดินทางมาอำเภอสรรคบุรี ด้วยเส้นทางหมายเลข 3454 และหมายเลข 4050 และเส้นสุพรรณ-ชัยนาท ปักหมุดว่า " วัดโพธาราม " ตำบล แพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท มาถึงแน่นอน มาที่เดียวได้เที่ยวโบราณสถานและโชคลาภถือได้ว่ามาที่เดียวชมและศึกษาหาความรู้ได้รวดเดียว ใช้เวลาเดินทางด้วยรถส่วนตัวจากกรุงเทพฯ ถึงอำเภอสรรคบุรีไม่เกิน 2 ชั่วโมงครึ่ง วัดอยู่ติดริมแม่น้ำน้อย 1 สิ่งความเชื่อ ความลี้ลับ ความศักดิ์สิทธ์ คือ เรือโบราณ ออกข่าวบ่อยนะจ๊ะวัดนี้ สำหรับสายเลข สายพิเศษ แถมท้ายเพื่อท่านที่ชื่นชอบสาย รางวัล ส่วนครั้งหน้าจะแนะนำแหล่งเรียนรู้ ภาพจิตกรรมฝาผนังโบสถ์ โปรดติดตาม ภาพทั้งหมดโดย : อธิกสุรทิน