อื่นๆ

ตีแผ่ชีวิตเด็กสายอาร์ตที่มันไม่อาร์ตอย่างที่คุณคิด

160
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ตีแผ่ชีวิตเด็กสายอาร์ตที่มันไม่อาร์ตอย่างที่คุณคิด

เกริ่นก่อนเลยว่าประสบการณ์ที่เล่ามาจาก คนที่เรียนศิลปะในมหาวิทยาลัยศิลปะลำดับต้นๆของไทย ซึ่งพูดแบบนี้แล้วมันอาจดูอวยมหาลัยตัวเอง(ฮา) แต่จุดมุ่งหมายที่เราอยากจะทำบทความนี้ขึ้นมาก็เพราะตอนนั้นเราก็เป็นคนหนึ่ง ที่เคยนั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของคนเรียนศิลป์ต่างๆนานา มันกลับมีน้อยมาก น้อยเท่าหางอึ่งเลยก็ว่าได้ แล้วเราก็เคยคิดมาโดยตลอดตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัยว่าถ้าเราจบไปแล้วเราจะเขียนเรื่องราวของตัวเองขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการแชร์ประสบการณ์เล็กๆ(ซึ่งไม่รู้จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน) สำหรับใครที่สนใจจะเรียนด้านสายอาร์ต อะไรที่เขาต้องเจอบ้าง ต้องเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมตังค์เท่าไหร่ถึงจะพอ เพราะชีวิตเด็กสายอาร์ตจริงๆมันต่างจากในซีรี่ย์เยอะ(มาก)

1. เวลา

เรียกได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญอันดับ 1 เลยก็ว่าได้ เพราะสิ่งนี้แหละที่จะตัดสินว่าใครจะติดหรือไม่ติด ที่พูดงี้เพราะเราผ่านจุดนี้มาแล้ว และมันช่างเจ็บปวด(มาก) เวลาที่เราไม่ได้คณะอย่างที่ฝันไว้ ย้อนไปปี 2557 คณะสีส้มของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมีการแข่งขันที่สูงลิ่วเลยก็ว่าได้ ตอนนั้นเหมือนจะฮิตเรื่องพวกภาพประกอบไรงี้กัน ทำให้คนแห่มาสอบเยอะมาก การเตรียมตัวของเรา ณ ตอนนั้นคือ ติวศิลปะทุกวัน(ยกเว้นตอนป่วย) ตอนเปิดเทอมและปิดเทอมด้วย ซึ่งวันหยุดกับปิดเทอมจะติวหนักหน่อย รวมเวลาติวประมาณ 2 ปีครึ่ง เรียกได้ว่าหามรุ่งหามค่ำเลยก็ว่าได้และมีการบ้านต่ออีก(เกลียดมาก) ซึ่งตอนนั้นอะไรดลจิตดลใจให้อยากเข้าขนาดนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ไฟนี่ลุกฮือ

Advertisement

Advertisement

ด้านล่างคือนี่คือตารางเวลาของเราในแต่ละวันในช่วงเปิดเทอม

ตารางเปิดเทอม

2. เงิน: ปัญหาโลกแตกของเด็กสายนี้

"เงิน" เป็นสิ่งที่รู้สึกแปลกเวลาพูดหัวข้อนี้เหมือนกัน แต่เอาจริง เรื่องเงินเป็นปัจจัยในลักษณะสิ่งของที่จับต้องได้ที่สำคัญเป็นอันดับ 1 ไม่แพ้เวลาเลย ซึ่งสมัยที่ติวนั้น ค่าเรียน  3,000 บาท/10 ครั้ง ครั้งนึงเรียน 3 ชม.ตกชม.ละ100 บาท ซึ่งไม่แพงเลย แต่มันไม่ได้หมดแค่นั้นน่ะสิ อย่างที่บอกว่าช่วงติว คือติวทุกวัน เท่ากับว่าเราเสียเดือนละ 9,000 บาท ติว 2 ปีครึ่ง หมดเงินไป 270,000 บาท มีบางช่วงที่มีการจ่ายแบบเหมา ก็จะเหลือประมาณ 200,000 บาท ยังไม่รวมกับค่าอุปกรณ์ที่ต้องเสียไป(เยอะมาก) คิดว่ารวมๆแล้วน่าจะหมดไปเกือบแสน ซึ่งที่อุปกรณ์ศิลปะบ้านเรามีราคาแพงก็เพราะว่าภาษีนำเข้าเทียบเท่ากับพวกเคาน์เตอร์แบรนด์เครื่องสำอางเลย เพราะอุปกรณ์ศิลปะที่คุณภาพดีก็เหมือนกับ Chanel, Louis vuitton ดูเหมือนโม้ แต่มันคือเรื่องจริง คงไม่ต้องแปลกใจว่าปากกา Copic ทำไมด้ามละร้อย สีน้ำคุณภาพดีทำไมถึงแพง แต่ก็มีที่ติวหลายที่เหมือนกันที่ไม่เก็บเงินของเด็กที่มีปัญหาด้านการเงินเลย ซึ่งกรณีนี้ก็จะแล้วแต่คนและโชคด้วย แต่ถึงยังไงค่าอุปกรณ์ส่วนมากก็ต้องออกเองอยู่ดีในระยะยาว ถ้าใครมีใจรักด้านนี้จริงๆก็ต้องทำใจยอมรับด้านไม่สวยงามของศิลปะด้วยเช่นกัน เพราะทุกๆอย่างมันคือการลงทุน ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความชอบกับกำลังทรัพย์ให้ดี ว่ามันไปด้วยกันได้มั้ย เพราะบอกเลยว่าเรื่องติวนี่คือแค่น้ำจิ้มก่อนลงสนามจริงตอนอยู่มหาลัย อุปกรณ์ของเด็กคณะอาร์ตหลายๆคนรวมกันนี่เหมือนกับพกรถยนต์คันนึงมาเรียนเลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่าถ้าเสียทีนี่ มีวูบเป็นลมได้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่เรื่องนี้จะถึงทางตันเสมอไป เพราะมันก็มีร้านที่ขายอุปกรณ์ศิลปะที่ราคาย่อมเยาว์เป็นมิตรแก่ทั้งเด็กติวและนักศึกษาได้เหมือนกันก็มี อย่าง สโมของมหาวิทยาลัย, นานาพันธ์, สมใจ รวมถึง istudio ในบางมหาลัยที่มีส่วนลดให้กับนักศึกษาโดยเฉพาะ ข้อเสียคือ ร้านเหล่านี้มีน้อย บางทีต้องเดินทางไกลเพื่อมาซื้อของถูก ค่ารถ ค่าน้ำมันบางทีก็ไม่คุ้มเที่ยวเหมือนกันถ้ามาคนเดียว

Advertisement

Advertisement

ภาพผู้หญิงกับหมูออมสิน

3. ความถึก

"ความถึกเอย...สำคัญไฉน" ถ้าใครคิดว่าการเรียนศิลปะคือการนั่งวาดรูป มันจะต้องใช้ความทึกยังไง? เพราะว่ามันไม่ได้มีแค่การวาดรูปไง ปัดโธ่! ตรงนี้ของแบ่งเป็น 2 พาร์ท เพื่อไม่เป็นการสับสน

3.1.ช่วงติวก่อนเข้ามหาลัย: จากข้อ 1 เรื่องเวลา หลายคนคงจะเห็นแล้วว่าเราทุ่มขนาดไหน

ช่วงปิดเทอมจะเป็นช่วงติวที่หฤโหดมาก ต้องถึกทั้งร่างกายและจิตใจ 1 วันของการติวคือยาวมาก บางวันก็โต้รุ่ง รอบการติวของเราที่เคยติวมาจะมี 3 รอบต่อ 1 วัน เริ่ม 09.00-12.00 น. พัก 1 ชม. / รอบที่ 2 13.00-16.00 น. พัก 1 ชม./ รอบที่ 3 17.00-20.00 น. พอเสร็จรอบที่ 3 จะมีการเก็บของ ทำความสะอาด ปัดถูที่ติวร่วมกันกับเพื่อนติวคนอื่น ประมาณ 30 นาที ต่อด้วยการวิจารณ์งานของรอบที่ 1-3 รวมกัน ซึ่งทุกคนที่ติวก็จะวางงานเรียงกันเป็นกระดาน ความกดดันก็จะบังเกิดละทีนี้ ซึ่งเวลาวิจารณ์ก็ประมาณอีก 1 ชม. ซึ่งกว่าจะเสร็จก็ 21.30 น. และมีการบ้านต่อ ซึ่งบางวันเยอะบางวันก็น้อย วันไหนโดนเยอะก็ต้องโต้รุ่งถึงเช้า และก็เรียนต่อเลย วนลูปเหมือนเดิมในทุกๆวัน ออฟฟิศซินโดมนี่คือถามหาแน่ๆ อีกด้านนึงคือความถึกของสภาพจิตใจ มันไม่ง่ายเลย เพราะในช่วงที่วันสอบใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จิตคือทิ้งลงเหวมาก ร้องไห้ทุกวันเวลาติวเสร็จ บางวันก็ร้องไห้ไปทำการบ้านไป ไม่ว่าสภาพจิตจะเป็นยังไง วันรุ่งขึ้นเวลา 09.00 ปุ๊ปคือติวต่อ

Advertisement

Advertisement

การวิจารณ์งานในช่วงติว ขึ้นอยู่กับเนื้องานจริงๆ วันไหนงานดีก็รอดไป วันไหนงานแย่ และยิ่งเป็นงานที่เคยทำได้ดีมาก่อนแล้ววันนึงแย่เนี่ย บอกเลยว่านรกมาเยือน เพราะคำวิจารณ์จะเชือดเฉือนมาก ใครจิตไม่แข็ง ก็ต้องน้ำตาตกในไปทุกครั้ง ซึ่งเท่าที่จำความได้ได้รับคำชมน่าจะประมาณ 10 ครั้งได้ จากที่ติวมา 2 ปีครึ่ง(ฮา)

3.2.ช่วงมหาลัย

คิดว่าช่วงติวคือถึกแล้ว คิดว่าไหวแล้ว พอเข้ามหาลัยจริงๆคือ อึ้ง เลยจ๊ะ งานนี่เหมือนคลื่นยักษ์สึนามิ ไม่ว่าจะงานเรียน รับน้อง โปรเจค งานส่วนรวม ขอบอก 1 เดือนแรกในมหาลัยของเรานี่กระอักเลือดเหมือนกัน สุขภาพนี่ทรุดโทรมเลยช่วงนั้น ไม่ได้หลับได้นอน เรียนเต็มวัน การบ้านเต็มสตรีม รับน้องเอยอะไรเอย อะไรที่โด๊บได้นี่กินแหลก อยู่ฟังนกร้องตอนเช้าจนเป็นเรื่องปกติ ตีสามออกกินข้าวมันไก่ ไม่งั้นไม่มีแรงทำงานต่อตอนดึก น้ำหนักคือระเหยไปกับสายลมและแสงแดด สภาพเหมือนศพเดินได้ เหมือนเดินอยู่แต่วิญญาณคือหายไปแล้ว(ฮา) กว่าจะปรับตัวได้คือ 3 เดือน ซึ่งนานเหมือน 3 ปี

ภาพสู้ชูกำปั้น

4. เพื่อน

สุภาษิตที่ว่า "คบคนพาล พาไปหาผิด คบบัณฑิต พาไปหาผล" ยังเป็นอะไรที่ใช้ได้ตลอดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นช่วงติวหรือช่วงมหาลัย คือต้องทำความเข้าใจว่าย้อนไปมองตอนช่วงมัธยม ถ้าไม่มีเพื่อนดีนี่คือไม่รอดแน่ๆ เพื่อนคือบวกเพิ่มในสถานะผู้มีพระคุณทางด้านจิตใจมากๆ เพราะช่วงเวลาที่ดีที่สุดตอนติวคือช่วงที่พักเบรกสมอง พูดเล่นกันกับเพื่อน บางทีก็นั่งปรับทุกข์ บางทีก็นั่งร้องไห้ เวลาติวบางทีก็เล่นต่อเพลงกัน ถ้าไม่มีพี่ติวอยู่(แต่มือก็ยังทำงาน) เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในตอนนั้นเท่าที่จะหาได้ ถ้าไม่มีเพื่อนคอยพยุง สติคงแตกกระเจิงไปแล้ว

พอช่วงมหาลัย ช่วงที่เพื่อนที่ติวด้วยกันมาต่างแยกย้ายไปมีกลุ่มเพื่อนใหม่ของตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่ความโดดเดี่ยวมันกลับเข้ามาอีกครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่ได้คุยกันนะ ยังคุยอยู่แต่น้อยลง(มาก)ในตอนแรก ด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่าง กิจกรรมเอย การบ้านเอย รสนิยม ความโชคดีก็คือ ยังเจอเพื่อนใหม่ที่ดีไม่แพ้เพื่อนเก่าเลย อีกทั้งยังพากันทำงาน(บวกเล่น) ก็เป็นช่วงที่สดใสมากเหมือนกัน แต่ก็มีหลายคนที่สกิลการเลือกเพื่อนที่ดีนั้นเป็นศูนย์ พอเข้ามาได้ไม่นานก็ลาออกไป ไม่ทำงานส่งบ้าง เหลวไหลบ้าง เราถึงบอกไงว่า "เพื่อน" นี่แหละที่จะเป็นตัวตัดสินอนาคตของอีกคนนึงได้เลย

ภาพเพื่อน

5."เปิดใจให้กว้างกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ว่าแม่น้ำเจ้าพระยาจะกว้างขนาดไหนแต่ใจเราต้องกว้างกว่านั้น"

ประโยคด้านบนดูเป็นคำพูดที่อาจดูติดตลก แต่เราหมายความอย่างงั้นจริงๆ การเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่เราต้องเจอ นิสัยแย่ๆของเพื่อนที่เราต้องยอมรับ ค่านิยมแปลกๆ สังคมที่ถีบเราออกจาก Comfort zone เพราะเราทำอะไรไม่ได้นอกจากเปิดใจและยอมรับ ซึ่งมันไม่ง่ายแต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ด้วยใจที่เปิดกว้างจะทำให้เราเริ่มคุ้นชิน แต่ละคนใช้เวลาแตกต่างกันไป สำหรับเรากว่าที่อะไรจะชิน(แบบจริงๆ) ก็ใช้เวลาประมาณ 3 ปี ที่ใช้เวลานาน เพราะมันไม่ง่ายน่ะสิ ทุกอย่างที่เราคิดว่ามีเหตุผล แต่บางทีเรื่องราวมันก็ไม่สมเหตุสมผลตามความคิดของเราเสมอไป บางปัญหาแก้ได้ บางปัญหาก็แก้ไม่ได้ และเราก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ด้วยเหมือนกัน ถ้าทางธรรมมะคงเรียกว่า "ปลง" แต่เราชอบคำว่า "ช่างแ_ง" (ฮา)

ภาพแม่กุญแจรูปหัวใจ

ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงประสบการณ์ส่วนบุคคล ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกันซะหมด และเรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนประกอบเล็กๆ ของมหากาพย์ที่เล่าไม่มีวันจบ เพราะชีวิตเด็กสายอาร์ตที่คุณเห็นเพียงแค่ "วาดรูปไปวันๆ" มันมีอะไรมากกว่าที่คุณคิดไงล่ะ

ภาพปก: freepik/ จากPIC 1: CANVA/ PIC 2:People vector created by stories - www.freepik.com"> freepik/ PIC 3: freepik/ PIC 4:Money vector created by studiogstock - www.freepik.com"> freepik/ PIC 5:Designed by rawpixel.com / Freepik"> freepik

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์